tag:blogger.com,1999:blog-73992620098168508792024-03-21T11:43:26.445-07:00ไก่ชน GameCockวิธีการเลี้ยงไก่สำหรับชน - ศูนย์รวมความรู้เรื่องเกี่ยวกับ ไก่ชนAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/09284329454802728091noreply@blogger.comBlogger44125tag:blogger.com,1999:blog-7399262009816850879.post-6463884427840153982013-05-27T09:14:00.002-07:002013-05-27T09:14:19.867-07:00การฝึกซ้อมและออกกำลังกายไก่ชน<img height="300" id="irc_mi" src="http://www.khonchonkai.com/webboard/data/pic/168.jpg" style="margin-top: 47px;" width="500" /><br />
<dd> การซ้อมไก่ต้องให้โอกาสไก่
การปล้ำไก่และซ้อมไก่เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งบางครั้งต้องให้โอกาสไก่ด้วย
ไม่ใช่ว่าซ้อมไม่เก่งแล้วก็ปล่อยทิ้งไม่ทำการซ้อมติดต่อกันการซ้อมจะต้อง
ซ้อมถึง 5
ครั้งแล้วสังเกตดูลีลาว่าลีลาชั้นเชิงเป็นอย่างไรเพราะไก่ไม่เหมือนนักมวย
ตรงที่ว่าไก่จะตีตามความถนัดของตน
การซ้อมแต่ละครั้งไม่ใช่ว่าท่านตั้งหน้าตั้งตาซ้อมอย่างเดียว
ต้องเอาใจใส่ดูแลรักษาเป็นอย่างดีต้องมีความสมบูรณ์
ไก่ที่มีความสมบูรณ์และสมบูรณ์ดีพอทำการซ้อมครบ
5ครั้งไม่มีอะไรดีขึ้นไม่มีการพัฒนาขึ้นมาท่านก็ควรพิจารณา</dd><dd>การฝึกไก่ชนตามชั้นเชิง
ไก่ชนแต่ละซุ้มที่เลี้ยงกันอยู่นั้นปัจจุบันมีมากมายหลายเชิงหลายลีลาบาง
ชั้นเชิงดีลีลาสวยแต่ตีไก่ไม่เจ็บ บางตัวไม่สวยชั้นเชิงไม่มากแต่ตีไก่เจ็บ
ตีหนัก ทำให้คู่ต่อสู้ออกอาการ
ฉะนั้นการฝึกไก่เราต้องฝึกให้ไก่เคยชินกับเชิงของมันเสียก่อน เช่น
ไก่ชนที่มีเชิงขี่ทับล็อคคอ เราต้องหาคู่ซ้อมที่เรียกว่าครูฝึก
ไก่ที่จะเป็นครูฝึกต้องเป็นไก่เชิงลายหัวหรือลงให้เตี้ยกว่าตัวขี่
เมื่อเราเอามาทำการฝึก ตัวขี่ล็อคคอมันจะเคยชิน
ต้องซ้อมนวมหรือลงนวมแล้วไก่ตัวเชิงดีมันจะเคยชินกับชั้นเชิงของมันถ้าเรา
เอาที่ตัวชั้นเชิงเหมือนกันมาฝึกไม่ตัวใดตัวหนึ่งต้องสียเชิง
พูดง่ายๆว่าเสียไก่ไปหนึ่งตัว
เพราะว่าตัวที่เสียเชิงกล้ามเนื้อส่วนต่างๆจะสู้ไม่ได้
ก็เลยลายหัวลงไปให้คู่ต่อสู้ขี่ล็อคคอทับเอาก็กลายเป็นเสียเชิง
นานๆเข้าก็ติดเป็นนิสัย หรือที่เรียกกันว่า "เสียไก่"
ไก่ชนลูกหนุ่มเราเห็นแววว่าเก่ง เราไม่ควรทำการซ้อมหนัก ควรซ้อมเบาๆไปก่อน
ถ้านำไปซ้อมหนัก มันก็จะเสียไก่หรือเรียกว่าถอดใจไม่คิดสู้</dd><dd>การซ้อมไก่ชนถี่มากเกินไป การซ้อมไก่ชนถ้าซ้อมพอดี
ก็จะเป็นประโยชน์ต่อไก่ของท่าน
แต่ถ้าการซ้อมนั้นมีมากเกินไปจะไม่ดีและยังจะมีโทษต่อไก่ชนอีกต่างหาก
การซ้อมไก่ชนถี่ๆและมากเกินไป
จะทำให้ไก่ชนของท่านอ่อนแอและไม่มีความสมบูรณ์ เมื่อนำซ้อมครั้งต่อไป
จะทำให้ไก่ชนของท่านคิดแต่จะหนีการซ้อมแต่ละครั้งเราควรต้องดูความสมบูรณ์
ของไก่ด้วย ถ้าไม่มีความสมบูรณ์จะทำให้ไก่ทรุดโทรมลงไปอีก
เมื่อไก่ทรุดโทรมผู้เลี้ยไก่บางท่านอาจจะปล่อยปละละเลยกลายเป็นไก่หมดสภาพ
ทันที ไก่ชนแต่ละตัวจะมีความดีในตัวมันเอง การเข้าชนมันถนัดไม่เหมือนกัน
บางตัวเข้าชนลายหัวให้แต่กลับตีไม่ถูกบางตัวเตี้ยแต่เวลาเข้าชนกับตะกาย
เหมือนจะกินกระหม่อมเพราะความถนัดของมันแต่ละตัว
และเชิงชนของมันไม่เหมือนกันนั้นเอง
ไก่ชนที่ท่านนำไปซ้อมเมื่อสู้คู่ต่อสู่ไม่ไหวท่านต้องเลิกทำการซ้อมทันที
ถ้าท่านปล่อยไว้จนมันทนไม่ไหวจะทำให้มันทรุดและเลี้ยงไม่ขึ้น
และเมื่อทำการซ้อมไก่เสร็จท่านควรหายาแก้ซ้ำในให้ไก่กิน<br />
<img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotsubject.gif" /><b> บริหารลำคอ</b></dd><dd>ไก่ชนเวลาเข้าชน ลำคอเป็นส่วนสำคัญในการต่อสู้
ต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา คอยหลอกล่อ หลบหลีก และจู่โจม
และยังเป็นเป้าหมายในการโจมตีจากฝ่ายตรงข้าม
ไก่ตัวใดที่มีลำคอไม่แข็งแกร่งมักจะเป็นโอกาสที่คู่ต่อสู้จะตีฝ่ายเดียวอัน
เป็นหนทางสู่ความพ่ายแพ้ การบริหารลำคอผู้ฝึกจะต้องนั่งลง
เอามือซ้ายโอบรอบตัวไก่ให้แนบกับลำตัวมือขวาจับข้อต่อลำคอของไก่นวดเฟ้นลำคอ
ตั้งแต่โคนคอขึ้นไปจนถึงหัว การนวดจะต้องนวดอย่างแผ่วเบา
ต้องนวดขึ้นลงครั้งละ 20 - 30 หน ขณะที่นวดควรจับคอไก่โยกไปทางซ้ายทีขวาที
ไปข้างหน้าและข้างหลัง สลับกันไปมา 20 - 30 ครั้งเพื่อให้คอไก่แข็งแรง
เป็นการกระตุ้นลำคอเพื่อให้เกิดความต้านทานเวลาเข้าชน
หรืออีกวิธีหนึ่งจับไก่ให้อยู่ระหว่างขาของผู้ฝึกให้ไก่หันหน้าไปทางเดียว
กันกับผู้ฝึกใช้มือซ้ายโอบตัวไก่หรือจับที่ต้นคอหลวมๆมือขวาจับคอยืดและหด
ออกหลายๆครั้ง โยกไปทางซ้ายทีขวาทีหน้าหลังสลับกันไปมา 20 - 30 ครั้ง
แรกๆบริหารลำคอ 6 - 8 ครั้งก็พอแล้วค่อยเพิ่มขึ้นเมื่อไก่เริ่มชิน
และเริ่มนวดขยำให้แรงขึ้นกว่าเดิม แต่อย่าแรงเกินไปจนทำให้ไก่หายใจลำบาก<br />
<img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotsubject.gif" /><b> การบริหารปีก</b></dd><dd>ปีกนอกจากจะใช้ในการกระพือแล้วยังช่วยในการพยุงตัวและเข้าชนอีก
ด้วย หลังจากลูบน้ำและบริหารลำคอเรียบร้อยแล้ว
ทำการบริหารปีกโดยการโอบไก่เข้าหาตัว
ใช้มือซ้ายจับที่โคนปีกพอหลวมๆมือขวาจับตรงกลางข้อต่อของปีก
จากนั้นให้นวดเฟ้นบริเวณตั้งแต่โคนปีกเรื่อยขึ้นไปจนถึงข้อต่อและปลายปีก
เฉพาะส่วนที่เป็นเนื้อหนัง ทำทั้งสองปีกสลับกันไปมาประมาณ 10 - 15 นาที
หรือสอดมือทั้งสองข้างเข้าใต้ปีกซ้ายขวาพร้อมกันโดยหงายมือจับข้อต่อของปีก
ไก่ทั้งสองข้างแล้วดึงออกจนสุดปลายปีกพร้อมกับยกให้ไก่ตีนสูงขึ้นพ้นพื้นดิน
หรือจะจับทีละปีกปละหิ้วดึงขึ้นให้สูงให้ตีนพ้นดินสลับกันไปมาข้างละประมาณ
10 ครั้ง<br />
<img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotsubject.gif" /><b> บริหารขา</b></dd><dd>ทำโดยการบีบนวด ขยำ บริเวณกล้ามเนื้อที่ขาทั้งสองข้าง
โดยนวดลูบลงเบาๆ ประมาณ 15 - 20 นาที
เสร็จจากการนวดให้รวบขาทั้งสองข้างเข้าหากันยกขึ้นตรงๆบีบเข้าหากันสัก 2 - 3
ครั้ง
จากนั้นพับตรงข้อต่อระหว่างแข้งขาเข้าหากันที่ละข้างโดยใช้นิ้วมือคั่นไว้
ระหว่างกลางทำสลับกันทั้งสองขา นวดที่แข้ง นิ้วและดัดเบาๆ<br />
<img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotsubject.gif" /><b> ฝึกวิ่งทางตรง</b></dd><dd>ถ้าอยากให้ไก่มีร่างกายแข็งแรงจะต้องปล่อยให้วิ่งและบินในตอนเช้า
เป็นประจำ นำไก่ไปปล่อยไว้ในที่โล่งเริ่มจากยกตัวไก่สูงขึ้น
จับตัวยกขึ้นยกลงอย่าให้เร็วหรือช้าเกินไป
ไก่จะกางปีกพยุงตัวตามจังหวะที่ยกขึ้นลงเมื่อชินแล้วยกตัวไก่ขึ้นสูงๆปล่อย
ให้กางปีกบินถลาไปไกลๆ หรือยกตัวไก่ขึ้นกลางอากาศ ฝึกแรกๆ
อย่าให้สูงนักการยกขึ้นลงควรได้จังหวะแล้วโยนขึ้นไปบนอากาศให้ไก่บินเองอีก
วิธีหนึ่งก็คือ ให้ไก่ล่อจับใส่กระเป๋าล่อ
ให้ไก่ฝึกตีเจ้าของไก่พาไก่ล่อวิ่งทางตรงทันทีที่เจ้าของไก่ออกวิ่งไก่ชนจะ
วิ่งตามใช้เวลาฝึกประมาณ 20 นาที<br />
<img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotsubject.gif" /><b> ฝึกล่อเป้า</b></dd><dd>คือการฝึกให้ไก่ตีคู่ต่อสู้โดยที่คู่ต่อสู้ไม่โต้ตอบเพื่อให้ไก่ชน
ได้มีประสบการณ์ ได้ออกกำลังกาย ฝึกความคล่องตัว ฝึกนิสัย
การไล่ตีคู่ต่อสู้รู้จักใช้ปากและสายตา ฝึกหลบหลีก เป็นการยั่วยุให้ไก่ดุ
และได้ใจ การฝึกโดยวิธีนี้จะทำให้ไก่หลักไม่บอบช้ำ<br />
<img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotsubject.gif" /><b> วิ่งวงล้อ</b></dd><dd>ไก่ชนบางตัวอาจยังไม่ชินกับการวิ่งวงล้อ ไก่อาจตกใจ
การแก้ไขไม่ให้ไก่ตกใจนั้น
ให้นำไก่ขี้ตกใจนั้นเข้าขังในวงล้อแล้วล็อกวงล้อให้อยู่นิ่งอย่าให้วงล้อ
หมุนเมื่อไก่คุ้นเคยกับวงล้อแล้วไม่มีอาการตกใจก็ปล่อยให้วงล้อวิ่งช้าๆก่อน
จนกว่าไก่จะคุ้นเคยมากกว่านี้สำหรับไก่ที่ชินแล้วจะวิ่งในวงล้อเป็นชั่วโมง
ท่านต้องผ่อนวงล้อให้วิ่งช้าๆก่อนไก่วิ่งวงล้อจะมีกล้ามขาที่แข็งแกร่งแต่
ต้องลงนวมหรือซ้อมนวมด้วย<br />
<img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotsubject.gif" /><b> การวิ่งสุ่ม</b></dd><dd>การวิ่งสุ่มเป็นเทคนิควิธีหนึ่งที่ใช้หลอกล่อไก่ให้ออกกำลัง
โดยเฉพาะตรงส่วนขา เป็นการฝึกระบบหายใจของไก่
อีกทั้งยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับไก่มากยิ่งขึ้น
ที่เซียนไก่มักพูดกันว่า “ทำให้ไก่ได้ใจ” การวิ่งสุ่มจะทำให้ไก่ดุ โกรธ
อยากตีไก่มากขึ้น โดยใช้ไก่ในสุ่มเป็นตัวล่อให้วิ่งเลาะในสุ่ม
และให้ไก่ตัวที่อยู่ด้านนอกหรือตัวที่เราเลี้ยงวิ่งไล่เลาะรอบสุ่ม
ไก่จะวิ่งเลาะสุ่มไปเรื่อยๆ ควรใช้สุ่มตาถี่ จับเวลาประมาณ 20 - 30 นาที<br />
<img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotsubject.gif" /><b> บินหลุมหรือโดดกล่อง</b></dd><dd>ขุดบ่อลึกประมาณ 50-60 เซนติเมตรเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1
เมตรถ้าท่านไม่มีลานที่เป็นพื้นดินก็ทำเป็นกล่องไม้สูงประมาณ120 เซนติเมตร
ใช้ผ้ากระสอบป่านกั้น 1 ด้านสูงเทียมอก
ใส่ทรายลงไปที่ก้นหลุมหรือจะเป็นกระสอบปูแทนก็ได้เวลาฝึกจับไก่ลงไปให้ไก่
บินขึ้นมาทำวันละ 100 - 200
ครั้งจะทำให้ไก่บินเก่งเป็นการฝึกกล้ามเนื้อขาและปีกไปในตัว<br />
<img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotsubject.gif" /><b> การฝึกโยนเบาะ</b></dd><dd>เพื่อให้ไก่ได้ออกกำลังปีกกำลังขา จะทำให้ปีกแข็งแรง เดินดี
ตีแม่น บินดี วิธีนี้ให้ฝึกกับไก่ที่ชอบแปะหน้าตี เกี่ยวหัวตี ตีเท้าบ่า
จะได้ผลดี ส่วนไก่เชิงขี่ ล็อค ม้าล่อ วิ่งชน จะไม่ดี
วิธีการฝึกให้ให้วางเบาะหรือฟูก เอาไว้ ผู้ฝึกนั่งบนเก้าอี้
หงายมือซ้ายในลักษณะแบมือพยุงหน้าอกไก่ไว้
มือขวาคว่ำจับตรงโคนหางไก่เอาไว้จังหวะแรกมือซ้ายดันหน้าอกไก่โยนขึ้นให้ลอย
พร้อมมือขวากดหางไก่ไว้ไก่จะลอยตัวขึ้นพร้อมกางปีกพยุงตัวซอยขาเพื่อเตรียม
ยืด ทำเช่นนี้ต่อกันวันแรก 20 ครั้งวันต่อมาเพิ่มทีละ 10 จนถึง 100
ครั้งเมื่อเห็นว่าไก่ไม่เหนื่อยให้ฝึกวันละ 100 ครั้ง</dd><dd>หลังจากทำการฝึกซ้อมไก่แล้วก็ควรให้ไก่ได้พักผ่อน
การพักผ่อนเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับไก่ กล้ามเนื้อ
ประสาททุกส่วนต้องการที่จะพักผ่อน
เพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัวเพราะถ้ากล้ามเนื้อไก่ฉีก
เราจะไม่มีวันรู้เลยเพราะไก่พูดไม่ได้
ช่วงพักผ่อนควรให้ไก่อยู่เฉยๆอย่าให้ไก่ออกกำลังกายเป็นอันขาดช่วงนี้อย่า
ให้ไก่เครียด
อย่าเสียงดังจะทำให้ไก่ตกใจการฝึกซ้อมไก่ควรทำตารางการฝึกไว้ด้วยจะเป็น
การดีมาก<br />
<img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotsubject.gif" /><b> <span style="color: red;">เลือดลงแข้ง</span></b></dd><dd>เป็นอาการที่เกิดจากการซ้ำบวมของขาไก่
ไม่ใช่โรคร้ายที่จะทำให้ไก่ถึงกับตายอย่างเฉียบพลันแต่อาจจะทำให้ถึงกับ
พิการได้เหมือนกันหากมีความรุนแรงมากจึงควรรีบรักษาเสียแต่เนิ่นๆ</dd><dd><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotlist.gif" /> สาเหตุ
เกิดจากการสมบุกสมบันมากจนเกินไปในการใช้ขาอย่างไม่รู้จักบันยะบันยังของไก่
เอง
หรืออาจจะเกิดจากความบกพร่องของคนเลี้ยงที่อาจจะมีการออกกำลังกายหรือหักโหม
ให้ไก่ใช้ขามากจนเกินไป
อันนี้ก็สามารถที่จะทำให้เกิดเลือดลงแข้งได้เหมือนกัน</dd><dd><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotlist.gif" /> อาการ
บริเวณแข้งหรือขาของไก่จะมีการบวม
สัมผัสดูจะรู้สึกได้ถึงความนิ่มของแข้งอย่างชัดเจน
ประกอบกับมองดูก็จะเห็นถึง ลักษณะของแข้งรวมไปจนถึงเกล็ดมีอาการช้ำ
จนเกล็ดมีสีแดงอมเลือดเลยทีเดียว</dd><dd><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotlist.gif" />
การป้องกัน เพียงแต่การออกกำลังกายให้ระวังในเรื่องนี้
และคอยควบคุมป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดเลือดลงแข้ง วิธีการนี้จะถือว่าดีที่สุด
เพราะเลือดลงแข้งจะเป็นอาการของการช้ำลำแข้ง
หรือที่เรียกกันว่ารองช้ำในไก่ก็ได้</dd><dd><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotlist.gif" /> รักษาพยาบาล</dd><dd><br /></dd><dd><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dottri.gif" /> ขั้นที่ 1 ใช้น้ำอุ่นประคบเพื่อให้มีการคลายของกล้ามเนื้อเสียก่อน หลังจากนั้นรอให้แข้งเย็น</dd><dd>สักหน่อย แล้วใช้น้ำเย็นประคบตามทุกครั้ง ภายหลังจากการประคบด้วยน้ำอุ่น</dd><dd><br /></dd><dd><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dottri.gif" /> ขั้นที่ 2 ทาน้ำมันมวยหรือครีมอะไรก็ได้ที่ทาแล้วแก้อาการช้ำบวมได้ และนวดเบาๆบริเวณ</dd><dd>ที่ช้ำบวม</dd><dd><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotlist.gif" /> ข้อควรระวัง</dd><dd><br /></dd><dd><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dottri.gif" /> ห้ามทำการนวดแรงๆโดยเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้เกิดอักเสบ ช้ำบวมมากยิ่งขึ้น เสร็จแล้ว</dd><dd>ก็ต้องระวังให้ไก่อยู่อย่างสงบ อย่าให้ไก่ใช้กำลังขามากจนเกินไป เดี๋ยวจะเกิดการช้ำบวมขึ้นมาอีก พยายาม</dd><dd>ปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างเคร่งคัดอาการก็จะทุเลาและหายไปในทีสุด</dd><dd><br /></dd><dd><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dottri.gif" /> อาการเลือดลงแข้งสำหรับในไก่ที่เคยเป็นมาแล้ว อาการนี้อาจจะเกิดขึ้นได้ใหม่ในทุกเวลา </dd><dd>หากเกิดมีการหักโหมอีก จึงควรระวังให้มากเลยทีเดียว</dd>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09284329454802728091noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7399262009816850879.post-12415446068092192542013-05-27T09:12:00.002-07:002013-05-27T09:12:20.816-07:00การเลี้ยงลูกไก่ชน<span style="color: blue;"><b>การเลี้ยงลูกไก่ชน </b></span><br /><br /><img alt="http://img62.imageshack.us/img62/982/171og4.jpg" class="decoded" height="366" src="http://img62.imageshack.us/img62/982/171og4.jpg" width="640" /><br /><br /> ธรรมชาติของไก่พื้นบ้าน เมื่อฟักลูกไก่ออกแล้วยังต้องทำหน้าที่เลี้ยงดู โดยหาอาหารตาม ธรรมชาติและป้องกันภยันตรายทั้งหลายจนลูกไก่อายุประมาณระหว่าง 6 - 10 สัปดาห์ แม่ไก่จึงจะปล่อยให้ลูกหากินตามอิสระ การที่แม่ไก่ต้องคอยเลี้ยงดูลูกไก่นั้น จะมีผลเสียเกิดขึ้นได้ดังนี้ ในระหว่างการเลี้ยงลูกนั้น แม่ไก่จะหยุดการให้ไข่โดยสิ้นเชิง ทำให้การออกไข่ของชุดต่อไปล่าช้า อัตราการตายของลูกไก่สูงขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนจากร้อนจัดแล้วฝนตก ทำให้ลูกไก่ได้รับสภาวะเครียด ถ้าปรับตัวไม่ทันมักจะตาย ในแหล่งที่มีอาหารตามธรรมชาติไม่เพียงพอ ย่อมทำให้ลูกไก่ได้รับอาหารไม่ครบถ้วน ทำให้อ่อนแอ มีภูมิต้านทานต่อโรคต่ำลง เป็นผลทำให้ลูกไก่ตายด้วยโรคแทรกซ้อนได้ง่าย จำนวนลูกไก่ที่ฟักได้ต่อปีต่อแม่ไก่ลดลง ผลเสียดังกล่าวข้างต้น โดยปกติเกษตรกรมักมองข้ามและไม่ให้ความสนใจเท่าที่ควร เป็นเพราะราคาไม่สูงเหมือนกับสัตว์ใหญ่ชนิดอื่น ๆ ที่จำหน่ายได้ในราคาสูง ๆ<br /> อย่างไรก็ตามถ้าเกษตรกรจะยอมลงทุนบ้างและให้ความเอาใจใส่เพิ่มขึ้นอีกเล้กน้อยก็จะสามารถลดความสูญเสียดังกล่าวได้มากพอควร ซึ่งอาจเพียงพอที่จะทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น วิธีการแก้ไขทำได้โดยการแยกลูกไก่จากแม่ไก่มากเองภายในคอกไก่ การกกลูกไก่ คือการให้ความอบอุ่นแก่ลูกไก่โดยอาศัยความอบอุ่นจากหลอดไฟฟ้า หรือลวดร้อน หรือเตาถ่าน เป็นต้น ซึ่งก็เปรียบเสมือน บริเวณใต้ปีกไก่ของแม่ไก่ที่คอยให้ความอบอุ่นแก่ลูก ๆ นั่นเอง อุปกรณ์และวัสดุที่ใช้สำหรับการกกลูกไก่ประกอบด้วย<br /> วัสดุรองพื้นคอก ที่นิยมใช้คือ แกลบเพราะหาได้สะดวก หรือจะเป็นพวกขี้เลื่อย หรือฟางข้าวแห้งนำมาตัดเป็นท่อน ๆ ยาวพอประมาณก็ได้<br /> แผงกั้นกกลูกไก่ อุปกรณ์ชนิดนี้มีไว้สำหรับจำกัดบริเวณลูกไก่ให้อยู่เฉพาะบริเวณที่มีความอบอุ่น และมีอาหาร ลูกไก่แรกเกิดนั้น จะยังไม่คุ้นเคยว่าบริเวณใดอบอุ่น ถ้าไม่มีแผงกั้นกก ลูกไก่อาจเดินหลงไปตามมุมคอกไก่ซึ่งความอบอุ่นไปไม่ถึง ย่อมส่งผลสูญเสียต่อการเลี้ยง แผงกั้นกกอาจทำจากไม้ไผ่ หรือวัสดุชนิดใดก็ได้ที่กั้นแล้วลูกไก่ลอดผ่านไม่ได้ โดยมากมักวางแผงกั้นกกเป็นรูปวงกลมจะดีกว่าวางเป็นรูปเหลี่ยม<br /> หลอดไฟฟ้า หลอดไฟ 100 วัตต์พร้อมฝาโป๊ะ 1 ชุด สามารถใช้กกลูกไก่ได้ประมาณ 10 - 50 ตัว แต่ในหมู่บ้านที่ยังไม่มีไฟฟ้า อาจดัดแปลงใช้เตาถ่านที่ยังมีความร้อนอยู่วางไว้บริเวณกึ่งกลางของแผงกั้นกกแล้วใช้แผ่นสังกะสีล้อมรอบเตาถ่ายนั้น ไว้อีกชั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกไก่เดินชน หรือโดดลงไปในเตาถ่าน<br /> ม่านกั้นคอกไก่ มีไว้สำหรับป้องกันไม่ให้ลมฝนผ่านเข้าในคอกในระยะการกก ม่านนั้นอาจทำจากวัสดุเหลือทิ้ง เช่น พวกถุงปุ๋ยเก่า ๆ หรือพวกพลาสติก ซึ่งต้องนำมาล้างให้สะอาดก่อนนำมาทำเป็นม่าน<br /> ที่ให้น้ำและอาหาร อาจทำจากไม้ไผ่ผ่าซีก หรือทำจากยางรถจักรยานหรือมอเตอร์ไซด์เก่า ๆ ก็ได้ แต่ขนาดของยางไม่ควรกว้างและลึกเกินไป การกกลูกไก่นั้น จะใช้เวลาประมาณ 3 - 5 สัปดาห์ ส่วนในฤดูร้อนจะใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ การกกในฤดูร้อนในช่วงกลางวันไม่จำเป็นต้องเปิดกกเพราะอุณหภูมิสูงอยู่แล้ว บางครั้งยังต้องเปิดม่านเพื่อให้ลมพัดผ่านระบายความร้อนภายในคอกออกไปด้วย ส่วนในเวลากลางคืน ควรเปิดกกและปิดม่านให้เรียบร้อย<br /> <b> การอนุบาลลูกไก่ชน</b><br /> ปัญหาการเลี้ยงไก่ แล้วลูกไก่มักจะตายมากกว่าการรอด การเลี้ยงไก่ชนนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด การอนุบาลลูกไก่โดยเฉพาะหน้าฝน เป็นช่วงที่เลี้ยงลูกไก่ยากมากเพราะลูกไก่มักจะเป็นหวัด แล้วโรคอื่นๆจะแทรกประกอบกับเป็นช่วงฤดูฝนทำให้เชื้อโรคทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัสต่างๆ แพร่กระจายได้รวดเร็วที่สุด การเลี้ยงหรืออนุบาลลูกไก่มีข้อควรพิจารณาดังต่อไปนี้<br /> ต้องให้ความอบอุ่นเพียงพอในกรณีที่เลี้ยงเอง ไม่ได้ให้แม่ของมันเลี้ยง โดยการกกไฟและอยู่ในสุ่มไม่ให้ถูกละอองฝน<br /> หากให้แม่มันเลี้ยงต้องขังสุ่ม ไว้ในที่ไม่โดนฝน หากให้แม่มันเลี้ยงแล้วปล่อยให้แม่ของมันพาไป ตากลมตากฝน ก็มีโอกาสเป็นหวัดได้ง่าย<br /> ต้องมีการทำวัคซีน ให้ครบถ้วนตามกำหนดเวลาที่กรมปศุสัตว์กำหนด คือ<br /> นิวคาสเซิล ทำวัคซีนนิวคาสเซิลเมื่อลูกไก่มีอายุ 3 - 7 วัน โดยการหยอดจมูกหรือตาของลูกไก่<br /> จำนวน 2 - 3 หยด เมื่อครบ 3 เดือนทำอีกครั้งหนึ่ง<br /> หลอดลมอักเสบ ทำวัคซีนหลอดลมอักเสบ เมื่อลูกไก่อายุได้ 7 - 15 วัน โดยการหยอดจมูก<br /> หรือตา จำนวน 2 - 3 หยด<br /> หวัดหน้าบวม ทำวัคซีนหวัดหน้าบวม เมื่อลูกไก่อายุได้ 2 เดือน โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง<br /> ตัวละ 0.5 ซีซี<br /> อหิวาต์ ทำวัคซีนอหิวาต์ เมื่อลูกไก่อายุได้ 3 เดือน โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังตัวละ 1.0 ซีซี<br /> ข้อควรระวังในการทำวัคซีน<br /> การทำวัคซีนทุกครั้ง โดยเฉพาะเชื้อเป็น ควรทำในที่ร่มอย่าทำในที่แดดจ้า เพราะจะทำให้วัคซีนเสื่อม<br /> การทำวัคซีนทุกครั้ง โดยเฉพาะเชื้อเป็น ต้องทำให้เสร็จภายใน 1 ชั่วโมง หากเกินกำหนดวัคซีนจะเสื่อม<br /> อย่าเทวัคซีนที่เหลือลงพื้นดิน เพราะจะทำให้เชื้อนั้นเจริญเติบโตได้ในที่ชื้นแฉะ กลายเป็นเชื้อโรคแพร่ระบาดต่อไป<br /> วัคซีนต้องเก็บไว้ในอุณหภูมิไม่เกิน 5 - 8 องศาเซลเซียส มิฉะนั้นวัคซีนจะเสื่อม<br /> การทำวัคซีนต้องทำกับไก่ที่มีสุขภาพแข็งแรง หากทำในไก่ที่ไม่สบายเช่นเป็นหวัด ถือเป็นข้อห้ามเพราะเท่ากับไปเพิ่มเชื้อโรคในไก่ ทำให้ไก่อ่อนแอ บางครั้งถึงตายได้<br /> การทำวัคซีนไก่รุ่นและไก่ใหญ่ที่ไม่เคยทำวัคซีนมาตั้งแต่เล็ก บางตัวจะมีการแพ้ ดังนั้นควรให้กินยาพาราเซทตามอล สักครึ่งเม็ดหลังจากทำวัคซีนโดยเฉพาะวัคซีนนิวคาสเซิล ชนิดที่แทงปีกหรือฉีดเข้าใต้ผิวหนัง รวมทั้งชนิดเชื้อตายด้วย<br /><br /> <b> การให้อาหารลูกไก่ชน</b><br /><br /> การให้อาหารลูกไก่สำคัญมาก เพราะลูกไก่ต่างอายุกัน ย่อมมีความต้องการอาหารที่แตกต่างกัน วิธีให้อาหาร คือ<br /> ลูกไก่อายุ 1 วัน เมื่อเอาลงมาจากรังไข่ ยังไม่ต้องให้อาหาร เพราะลูกไก่มีอาหารสำรองอยู่ในกระเพาะแล้ว ควรให้กินแต่น้ำสะอาด และนำกรวดทรายเม็ดเล็กๆ มาวางไว้เพื่อให้ลูกไก่หัดจิกกิน<br /> ลูกไก่อายุ 2 - 7 วันควรให้กินปลายข้าวผสมกับหัวอาหาร ให้ทั้งเช้าและเย็น แต่ควรให้กินครั้งละน้อยๆเท่าที่ลูกไก่กินหมดภายใน 3 - 5นาทีเท่านั้น นำน้ำสะอาจและกรวดทรายเล็กๆ มาวางไว้ให้ลูกไก่กินตลอดเวลา<br /> ลูกไก่อายุ 2 สัปดาห์ ช่วงนี้ลูกไก่สามารถหาอาหารอย่างอื่นกินได้บ้างแล้ว แต่ก็ควรให้ปลายข้าวผสมหัวอาหาร อาหารหยาบ เช่น รำละเอียดผสมกับปลายข้าว กากถั่ว ข้าวโพดบด ปลาป่น กระดูกป่น เปลือกหอยป่น โดยผสมตามสูตรดังนี้ กระดูกป่น 0.1 กิโลกรัม เปลือกหอยป่น 0.2 กิโลกรัม อาจผสมเกลือแกงลงไปประมาณ 1 ช้อนชา ผสม พรีมิกซ์ไวตามินลงไปด้วยสักเล็กน้อย ควรหาเศษผัก หรือหญ้าสดมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ โปรยให้ไก่กินวันละ 1-2 ครั้ง ที่สำคัญมากที่สุดก็คือน้ำสะอาดต้องมีตลอดเวลา คอยมั่นทำความ สะอาดบริเวณที่นอนของลูกไก่ อย่าให้สกปรก หมักหมม ควรให้ลูกไก่ถูกแสงแดดบ้างทั้งเช้าและเย็น<br /> ลูกไก่อายุย่างเข้า 3 - 6 สัปดาห์ ลูกไก่ที่อยู่ในระยะนี้ขนจะขึ้นสมบูรณ์แล้ว และที่สำคัญจะเริ่มมีการจิกกัน อาหารผักสดยังคงให้เหมือนเดิม อาจจะเพิ่มกรวดทรายให้กินเป็นอาทิตย์ละ 2 ครั้ง<br /> ลูกไก่อายุ 7 - 8 สัปดาห์ ไก่ในช่วงเวลานี้จะเจริญเติบโตมากขึ้นกว่าเดิม ควรแยกตัวผู้ และ ตัวเมียออกจากกัน ถ้าต้องการจะนำตัวผู้ไปตอน ก็ควรทำเสียตอนนี้เลย สำหรับการเลี้ยงดูควรให้อาหารและน้ำอย่างเพียงพอ คอยทำความสะอาดกรง หรือโรงเรือนอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นไก่จะไม่สบายตัว<br /> ลูกไก่อายุ 9 - 10 สัปดาห์ ระยะนี้การให้อาหารง่ายมาก ควรให้กินข้าวเปลือกได้แล้ว อย่างน้อยวันละครั้งในตอนบ่าย ปล่อยไว้ที่ลานซึ่งเป็นพื้นดินและพื้นหญ้า ควรปล่อยให้หาอาหารเองตามธรรมชาติ ควรเสริมอาหารเมื้อเช้าและเมื้อเที่ยงให้ด้วย มื้อเช้าให้จำพวกผักและเนื้อสัตว์ ตอนเที่ยงควรเป็นข้าวสารมื้อเย็นเป็นข้าวเปลือก เมื่อย่างเข้าฤดูร้อนและฤดูฝนไก่มักขาดสารอาหารควรให้อาหารเสริม เช่น ใบกระถินโดยนำไปตากแห้ง แล้วนำไปแช่ลงในน้ำสะอาด 1 วัน เพื่อลดสารพิษ เป็นการช่วยเสริมสารอาหารแก่ไก่เป็นอย่างดี<br /> ลูกไก่อายุ 10 สัปดาห์เป็นต้นไป เมื่อโตถึงขั้นนี้แล้วจะมีความสามารถหาอาหาร ตามธรรมชาติได้เป็นอย่างดี แต่ระยะนี้ไก่ให้ผลผลิตเพื่อสืบพันธุ์ไก่จึงมีความต้องการอาหารเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ ควร ให้ปลายข้าว รำ ข้าวเปลือก เปลือกหอย กระดองปู เพื่อให้มีการเสริมธาตุ อาหารแคลเซียมยมและฟอสฟอรัส เมื่อได้มาแล้วให้นำมาทุบให้ละเอียดใส่ภาชนะตั้งทิ้งไว้ให้ไก่กินได้ ตลอดจะเป็นผลดีต่อสุขภาพของไก่<br /><br /> <b>การออกกำลังกายลูกไก่ชน</b><br /> การฝึกให้ไก่ออกกำลังเป็นเทคนิคหรือวิธีหนึ่งในการเลี้ยงไก่ให้เก่ง ไก่จะเก่งได้ต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง กระดูก ข้อต่อและกล้ามเนื้อของไก่เป็นสิ่งที่สำคัญ การฝึกไก่ให้ออกกำลังเป็นการบริหารกล้ามเนื้อ กระดูกและข้อต่อ ทำให้กล้ามเนื้อของไก่แน่นแข็งแรง พร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวในทุกลีลาชั้นเชิง การฝึกไก่ให้ออกกำลังสามารถทำได้ตั้งแต่ไก่ยังอายุน้อยเพื่อเป็นการวางรากฐานโครงสร้างที่ดีให้กับลูกไก่ การฝึกไก่ให้ออกกำลังนอกจากจะทำให้ไก่มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมกระตุ้นพัฒนาการทางด้านสติปัญญาของลูกไก่ได้อีกทางหนึ่งด้วย วิธีการฝึกลูกให้ออกกำลังมีหลายวิธี ดังนี้<br /> ติดดั้งและหมั่นปรับระดับภาชนะใส่น้ำให้สุงขึ้นตามความสูงของไก่ ปรับให้สุงประมาณระดับสายตาของไก่(ขณะที่ไก่ยืนยืดคอชูคอ) เวลาจะกินน้ำไก่จะเขย่งขา ยืดตัว ยืดอกและคอ ทำให้ไก่ได้ออกแรงยืดเส้นยืดสาย เป็นการบริหารขาและคอไปด้วยขณะกินน้ำ เมื่อไก่ยืดคอบ่อยๆ เป็นประจำ จะทำให้ไก่เคยชินจนติดเป็นนิสัย อาจส่งผลดีไปถึงชั้นเชิงของไก่ ทำให้ไก่ไม่ก้มหัวลงต่ำเวลาชน เป็นการส่งเสริมให้ไก่มีเชิงคุมบน ซึ่งเป็นเชิงดีนิยม<br /> หว่านอาหารลงบนพื้นดินให้ลูกไก่คุ้ยเขี่ยจิกกิน การให้อาหารไก่แบบใส่ภาชนะหรืองรางใส่อาหารแต่เพียงอย่างเดียว อาจทำให้ไก่ไม่ค่อยได้ใช้ขา ไม่ได้บริหารกล้ามเนื้อขา ผู้เลี้ยงไก่ชนควรหว่านอาหารลงบนพื้นดินบ้าง เพื่อให้ไก่ได้คุ้ยเขี่ยจิกหาอาหารที่ซุกซ่อยอยู่ตามพื้นดิน ทำให้ไก่ได้ออกกำลัง ทำให้กระดูกและกล้ามเนื้อขาของไก่แข็งแรง ไม่เป็นไก่ขาอ่อน อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นพัฒนาการทางด้านสายตาให้กับลูกไก่ได้อีกทางหนึ่งด้วย<br /> เอาอาหารที่ไก่ชอบโยนให้ลูกไก่กินบ้าง หากทำเป็นประจำได้ก็ยิ่งดี การเลี้ยงลูกไก่ไว้ในบริเวณที่จำกัด เช่น ในเล้าตาข่ายหรือในสุ่มอาจทำให้ไก่ไม่ค่อยได้วิ่งออกกำลัง วิธีการหนึ่งในการแก้ไขปัญหานี้ก็คือ การเอาแมลงหรืออาหารแปลกๆ ที่ไก่ชอบโยนให้ไก่กิน ไก่จะวิ่งไล่จับแมลง และวิ่งไล่แย่งอาหารกันเอง ทำให้ไก่ได้ออกกำลัง ตัวอย่างแมลงที่ไก่ชอบ ได้แก่ แมลงกระชอน ตะขาบ เขียด จิ้งจก จิ้งหรีด เป็นต้น(หากอาหารชิ้นใหญ่กว่าปากไก่จะดีมากๆ เพราะในการจิกอาหารชิ้นใหญ่ ต้องใช้เวลามาก ทำให้ลูกไก่วิ่งไล่แย่งอาหารกันได้นานขึ้น)<br /> ผูกอาหารที่ไก่ชอบห้อยไว้ในเล้าตาข่ายหรือในสุ่ม โดยห้อยไว้ที่ระดับความสูงพอประมาณ ให้ไก่สามารถกระโดดและบินถึงได้ เมื่อไก่เห็นอาหารห้อยอยู่บนที่สูง ไก่ก็จะกระโดดและบินขึ้นจิกอาหารครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ไก่ได้ออกกำลังแทบทุกส่วน โดยเฉพาะกล้ามเนื้อคอ ขา และปีก อีกทั้งยังได้ฝึกการใช้ปากจิกอาหาร การใช้สายตาเพ่งเพื่อจู่โจมเป้าหมาย เป็นการเพิ่มประสบการณ์และความชำนาญให้กับลูกไก่ได้อีกทางหนึ่ง ตัวอย่างอาหารที่ไก่ชอบกิน ได้แก่ แตง ผักกาด ตลอดจนผักใบเขียวต่างๆ กล้วย แมลงกระชอน ตะขาบ เขียด จิ้งหรีด เป็นต้น(แมลงที่ดิ้นไปมาจะเรียกความสนใจของไก่ ทำให้ไก่อยากรู้อยากลองมากขึ้น)<br /> ทำคอนให้ไก่เหยียบ ลูกไก่มักมีความซุกซนอยากรู้อยากเห็นอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว หากเราทำคอนหรือกิ่งไม้ไว้ในเล้าตาข่ายหรือในสุ่ม ลูกไก่จะกระโดดบินขึ้นไปเหยียบเกาะบนคอนที่สูง ทำให้ไก่มีโอกาสได้ออกกำลังตลอดเวลา ลูกไก่จะได้บริหารทั้งกล้ามเนื้อ กระดูก ปีกและขา ทำให้ไก่มีกำลังขา ไม่เป็นไก่ขาอ่อน ปีกก็แข็งแรงทำให้ไก่จิกบินตีได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/09284329454802728091noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7399262009816850879.post-85540556114746652802013-05-27T09:09:00.002-07:002013-05-27T09:09:39.262-07:00การเพาะและพัฒนาสายพันธ์ไก่ชน<span style="color: blue;"><b>หลักการผสมพันธุ์</b></span><br /><img alt="http://www.kaichons.com/upload/article/October_24_2011_9_55_569350835.jpg" class="decoded" src="http://www.kaichons.com/upload/article/October_24_2011_9_55_569350835.jpg" /><br /> <b> มี 2 แบบอย่างกว้างๆ คือ</b><br /> การผสมพันธุ์ระหว่าง พ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ที่ไม่เป็นญาติกัน<br /> การผสมกันระหว่างญาติพี่น้องสายเลือดใกล้ชิดกัน หรือเรียกว่าการผสมพันธุ์แบบเลือดชิด อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติเราจะหลีกเลี่ยงการผสมเลือดชิดค่อนข้างยาก เพราะเรามีจำนวนพ่อแม่พันธุ์จำกัด ในทางทฤษฎีก็ทำได้แต่อย่าให้เลือดชิดสูงเกิน 49% โดยเฉพาะการปรับปรุงพันธุ์ไก่ให้ได้เลือดบริสุทธิ์หรือพันธุ์แม้ เราจะผสมพันธุ์ให้เลือดสูงถึง 49% ก็จะได้พันธุ์ใหม่ หรือพันธุ์ของเราเองซึ่งเป็นพันธุ์ไก่ที่มีคุณสมบัติเฉพาะพันธุ์ ในทางปฏิบัติทั่วๆ ไป เราจะพยายามให้เปอร์เซ็นต์การผสมเลือดชิดอยู่ระหว่าง 15-25% อัตราการผสมเลือดชิดนี้ จะเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี ดังนั้นเราต้องวางแผนว่าในระยะเวลา 10 ปี ข้างหน้าเราจะให้ฝูงไก้ของเรามีเลือดชิดกี่เปอร์เซ็นต์ เพื่อนำไปคำนวณหาว่าเรา ควรจะมีพ่อ - แม่พันธุ์ในฝูงของเรากี่ตัว ซึ่งเกษตรกรส่วนมากไม่รู้ว่าฝูงไก่ของเราหรือในฟาร์มของเรา ควรจะเก็บพ่อ - แม่หรือไก่ทดแทนไว้กี่ตัว จึงจะทำการปรับปรุงพันธุ์ได้ ซึ่งสามารถคำนวณได้ดังนี้<br /> สูตร : อัตราการผสมเลือดชิดเพิ่มขึ้นต่อปี=100 x [(1/(8 x จำนวนพ่อพันธุ์)) + (1/(8 x จำนวนแม่พันธุ์))]%<br /> การคัดเลือกพ่อพันธุ์<br /> พ่อพันธุ์จะต้องมีอายุอยู่ในช่วง 1 ปีครึ่ง ถึง 3 ปี น้ำหนักตัวตั้งแต่ 3 กิโลกรัมขึ้นไป ต้องมาจากสายเลือดที่บริสุทธิ์ มีรูปร่างลักษณะดี องอาจขนปีกและขนหางขึ้นเป็นระเบียบ นิสัยดี ไม่จิกตัวเมียและลูกไก่เล็ก สีตรงตามสายพันธุ์ เชิงชนหรือลีลาดี ตีแม่นยำ ลำหักลำโค่นดี จิตใจดีเหมียวแน่น ชนชนะบ่อยครั้ง<br /> การคัดเลือกแม่พันธุ์<br /> หน้าแหลมกลมกลึงแบบหน้านก ตาเรียวไม่ลึก ขอบตาสองชั้น ตาสีตามสายพันธุ์ หงอนบางเรียบกอดกระหม่อม ปากแหลมคม มีร่องน้ำ เหง้าปากใหญ่ ปากสีเดียวกับแข้ง หูรัด เหนียงเล็ก ไม่หย่อนยาน มีสายเลือดดี สีตรงตามสายพันธุ์หรือสีเดียวตลอดทั้งตัว ไม่ควรมีสีด่างหรือสีเปรอะ ขนสร้อยคอมีขลิบตามพันธุ์ มีโครงร่างดี จับยาวสองท่อน คอดกลาง บานหัว บานท้าย กระดูกอกใหญ่และไม่คดงอ บั้นท้ายโตแบน หลังยาว ปั้นขาใหญ่ คอยาวโค้งแบบคอม้าหรือคองูเห่า กระดูกปล้องคอถี่และใหญ่ กระปุกน้ำมันเดียว ขั้วหางใหญ่ดกและยาว แข้งขากลม เล็ก นิ้วกลมยาว เกล็ดเรียงกันเป็นระเบียบ ท้องแข้งเต็ม มีปุ่มเดือย แข้งสีเดียวกัน ไม่ดำด่าง สีแข้งรับกับปาก สะบัดหัวเล่นสร้อยตลอดเวลา จิตใจดี มีน้ำอดน้ำทน มีประวัติการให้ลูกเก่ง มีเชิงชนและลีลาดี คล่องแคล่วว่องไว<br /> การเตรียมรังสำหรับวางไข่<br /> การเตรียมรังสำหรับวางไข่นี้ ถือเป็นเคล็ดลับอย่างหนึ่งที่มีความเชื่อทางไสยศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งแตกต่างจากแม่ไก่ธรรมชาติ บางท่านอาจถือว่าไม่ใช่เรื่องจำเป็น แต่นักเลงไก่ในสมัยก่อนพยามปกปิดเป็นความลับมาเป็นเวลาช้านานไม่แพร่ให้บุคคลทั่วไปรับรู้ ซึ่งวิธีการทำรังไก่มีดังนี้<br /> ต้องทำรังไก่ในตอนเช้าวันอังคารกับวันเสาร์ เพราะเป็นวันแข็ง<br /> ห้ามให้สตรีเป็ผู้ทำรังไก่ไข่เป็นอันขาด เพราะเชื่อว่าจะทำให้ลูกไก่ที่เกิดมาอ่อนแอ<br /> ให้หันหน้ารังไก่ไปทางทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตกเฉียงเหนือ<br /> นำกระบุงที่ใช้สำหรับใส่ของมาทำรังไก่ ควรเป็นกระบุงที่ใช้ใส่ของขายแล้วขายดี ได้เงินมาก<br /> นำหนาม 5 อย่างต่อไปนี้ มาใส่ถุงแล้ววางไว้ใต้รัง หนามแดง หนาพุงตอ หนามส้ม หนามหวาย<br /> **และหนามไม้ร้อง เพื่อเป็นเคล็ดให้ไก่ตีแม่น<br /> ควรใช้ใบยาสูบหรือตะไคร้ตากแห้งรองที่ก้นรังไก่ เพื่อป้องกันแม่และลูกไก่จากพวกเห็บ เหาและไร<br /> หามูลฝอยและวัสดุมารองรังไก่ ประกอบด้วย <br /> หัวงูเห่าตากแห้ง เชื่อว่าจะช่วยให้ไก่ชนตีคู่ต่อสู้แล้วทำให้ตาของคู่ต่อสู้มืดมิดมองไม่เห็น<br /> ไม้คานที่หักคาบ่า เชื่อว่าจะทำให้ไก่ชนมีลำหักลำโค่นดี<br /> เศษใบไม้ใบหญ้าของลมหมุน เชื่อว่าจะทำให้ไก่ชนตีคู่ต่อสู้แล้ววนหักเหมือนลมหมุน<br /> ไม้ที่ถูกฟ้าผ่า เชื่อว่าจะทำให้ไก่ชนตีแรงจนทำให้คู่ต่อสู้ชักดิ้นชักงอ เหมือนโดนฟ้าผ่า<br /> หญ้าแพรก เชื่อว่าจะทำให้ไก่ชนที่ถูกตี ฟื้นตัวง่ายเหมือนกับหญ้าแพรก<br /> ไม้ที่เคยตีหรือขว้างปาไก่ตัวผู้ถึงกับชักหรือตายมาแล้ว วางขวางไว้หน้ารังไก่ ให้แม่ไก่ข้ามขึ้น<br /> ลงขณะไปวางไข่ เพื่อเป็นการตัดไม้ข่มนาม<br /> หัวงูเห่า หัวเสือปลา หัวพังพอน หัวเหยี่ยวนกเขาหรือเหยี่ยวหัวขาว เลือกเอาเพียงอย่างเดียว<br /> นำไปแขวนไว้ที่ใต้รังไก่<br /> ทองคำ เชื่อว่าจะทำให้ลูกไก่ชนที่เกิดมามีขนสร้อยสีสวยงามเหมือนทองคำ<br /> ใบเงิน ใบทอง ใช้ใบเงิน ใบทองอย่างละ 5 ใบ รองรังไก่ เพื่อเป็นเคล็ดให้ได้เงินทองมากๆ<br /> ใบขนุน ใช้ใบขนุนแห้ง 5 ใบ รองรังไก่ เพื่อเป็นเคล็ดให้เกื้อหนุน ให้ได้เงินทองมากๆ<br /> การคัดเลือกไข่<br /> เมื่อแม่ไก่ได้รับการผสมพันธุ์และวางไข่ไว้ภายในรังที่เตรียมเอาไว้แล้ว จะต้องคัดไข่ที่มีเปลือกบาง ผิวขรุขระ ไข่แฝด ฟองเล็กเกินไป และฟองที่มีรอยแตกร้าวออกไป เพราะไข่เหล่านี้ถือว่าเป็นไข่ที่ผิดปกติ อัตราการฟักออกเป็นตัวต่ำ ถึงจะฟักออกเป็นตัวก็เป็นลูกไก่ที่ไม่สมบูรณ์ ไข่ที่คัดออกนี้สามารถนำไปประกอบอาหารได้ ถ้าไข่มีจำนวนมากเกินไป แม่ไก่จะกกไม่ทั่วถึง ไข่จะล้นอกแม่ไก่ทำให้ไข่เน่าเสีย ลูกไก่ที่เกิดมาจะไม่แข็งแรง และถ้าลูกไก่มีจำนวนมากเกินไปจะเกิดการแย่งอาหารกัน จึงคัดไข่ส่วนหนึ่งออก เหลือไว้เพียง 5 - 10 ฟอง<br /><br /><img alt="http://www.kaisiam.com/webboard/A3016679.jpg" class="decoded" src="http://www.kaisiam.com/webboard/A3016679.jpg" /><br /> การฟักไข่<br /> การให้แม่ไก่กกไข่เองนั้นมีข้อดีอยู่หลายประการ เช่น เป็นการประหยัดต้นทุน ประหยัดเวลา และที่สำคัญคือลูกไก่จะได้รับความอบอุ่นและเรียนรู้สัญชาตญาณจากแม่ไก่ ดังนั้นไก่ชนจึงไม่สมควรที่จะใช้ตู้ฟักไข่ เมื่อแม่ไก่วางไข่จนฟองสุดท้ายแล้วก็จะเริ่มกกไข่เอง ใช้เวลาประมาณ 18 – 21 วัน ไข่ก็จะฟักออกเป็นตัว ซึ่งวิธีการฟักไข่ที่ได้รับความนิยมมี 2 วิธี<br /> วิธีธรรมชาติโดยใช้แม่ไก่กกเอง เป็นวิธีที่ประหยัดและนิยมทำกันมากที่สุด ระยะเริ่มแรกของการฟักไข่ แม่ไก่จะใช้เวลาเกือบทั้งวันในการกกไข่และคอยกลับไข่ ในช่วงนี้ต้องคอยระมัดระวังไม่ให้แม่ไก่ถูกรบกวน ต้องคอยดูแลเติมน้ำและให้อาหารแก่แม่ไก่อย่างพอเพียง เพราะถ้าแม่ไก่เกิดความเครียดหรือหิวอาจจะจิกกินไข่ของตนเองได้ เมื่อแม่ไก่กกไข่ได้ประมาณ 10 วัน ให้ใช้ไฟฉายส่องไข่ดูว่ามีตัวอ่อนหรือไม่ จากนั้นคัดไข่ที่ไม่มีตัวอ่อนหรือผสมไม่ติดออกไป แล้วให้แม่ไก่กกไข่ต่อไปอีก ประมาณ 8 - 11 วัน ไข่ก็จะฟักออกเป็นตัว จากนั้นจะปล่อยให้แม่ไก่เลี้ยงลูกเองหรือจะแยกเลี้ยงก็ได้<br /> วิธีจัดการให้แม่ไก่ตัวอื่นฟักแทน เป็นวิธีที่สามารถแก้ปัญหาแม่ไก่จิกกินไข่ของตนเองหรือจิกกินลูกไก่ที่ฟักออกมา ซึ่งสาเหตุอาจจะมาจากความเครียดจากการจัดการสิ่งแวดล้อมไม่ดีหรืออาจจะเป็นนิสัยส่วนตัวของแม่ไก่ก็ได้ ปัญหานี้แก้ไขได้โดยเก็บไข่ไปฝากให้แม่ไก่ตัวอื่นกกแทน วิธีนี้เรียกว่า ”ใช้มือปืน” ซึ่งก็หมายความว่าให้แม่ไก่ตัวอื่นกกไข่แทนนั่นเองAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/09284329454802728091noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7399262009816850879.post-81114704321030909482013-05-27T09:06:00.003-07:002013-05-27T09:07:27.730-07:00สายพันธ์ไก่ชน<b>ไก่บ้านหรือไก่พื้นบ้านกับไก่ชน</b><br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="3" style="width: 510px;"><tbody>
<tr valign="top"><td width="510"><br />
<br />
<dd>ข้อมูลจากตำราทั้งเก่าและใหม่
รวมกับข้อมูลที่ได้จากการซักถามพูดคุยกับคนเฒ่าคนแก่และคนที่ชอบเลี้ยงไก่ชน
ทำให้เราสรุปได้ว่า
”ไก่ชนกับไก่บ้านหรือไก่พื้นบ้านก็คือไก่ประเภทเดียวกัน”
จนอาจพูดเป็นภาษาชาวบ้านได้ว่า ”ไก่ชนก็คือไก่บ้านดีๆ นี่เอง
หรือไก่ชนกับไก่บ้านก็คือไก่อันเดียวกันนั่นแล”
เพียงแต่ว่าไก่ที่จะนำไปชนกันนั้นเป็นไก่ที่เก่ง ผ่านการคัดเลือก
ผ่านการฝึกฝนหรือเก็บเนื้อเก็บตัวมาแล้ว
ไก่ที่นำไปชนจึงเก่งผิดจากไก่บ้านตัวอื่นๆ และจากไก่ตัวเมียตัวผู้ที่เก่งๆ
นี่เองชาวบ้านมักจะเลี้ยงไว้เป็นพ่อแม่พันธุ์
ลูกหลานไก่ที่เกิดมาก็มักจะเก่งเหมือนพ่อแม่ไก่
ชาวบ้านก็เลยเรียกไก่พื้นบ้านเหล่านี้ว่า ”พันธุ์ไก่ชน”
ด้วยเหตุนี้แหละจึงทำให้พวกเราซึ่งเกิดทีหลังรู้สึกสับสนระหว่างคำว่า
”ไก่พื้นบ้านกับไก่ชน”<br />
<b> ไก่บ้านหรือไก่พื้นบ้านมาจากไหน</b></dd><dd>จากการค้นคว้าพบว่า
ไก่พื้นบ้านหรือไก่ชนพัฒนาสายพันธุ์มาจากไก่ป่า(ไก่ป่าทั่วไป,
ไก่ป่าตุ้มหูขาว, ไก่ป่าตุ้มหูแดง, ไก่ป่าตุ้มหูเหลือง
และอาจจะมีอีกหลายชนิด)
โดยธรรมชาติแล้วไก่ป่าจะมีนิสัยหวงถิ่นหรือพื้นที่อันเป็นเขตแดนของตน
โดยเฉพาะไก่ป่าตุ้มหูแดงนั้นหลายตำราบอกว่าจะหวงถิ่นมากเป็นพิเศษ
มักจะขับไล่ไก่ตัวอื่นที่ลุกล้ำอาณาเขตเสมอ
ต่อมาเมื่อคนยุคโบราณเห็นถึงข้อดีความเก่งความเป็นนักต่อสู้
เลยจับไก่ป่ามาเลี้ยงและในยามว่างงานก็นำไก่มาตีกัน(ซึ่งต่อมาเรียกว่า
”การชนไก่”)
ไก่ตัวไหนดีตัวไหนเก่งชาวบ้านก็เก็บไว้ทำพ่อแม่พันธุ์และพัฒนาสายพันธุ์มา
เรื่อยๆ จนลูกหลานไก่ป่าคุ้นเคยกับผู้คน
จากไก่ป่ากลายเป็นไก่บ้านหรือไก่พื้นบ้าน
เหล่ากอหรือเผ่าพันธุ์ไหนเก่งก็เรียกว่า ”พันธุ์ไก่ชน”
การชนไก่ถือว่าเป็นการละเล่นขณะพักผ่อนยามว่างงาน
เป็นเกมกีฬาอย่างหนึ่งของบรรพบุรุษสืบมาจนถึงทุกวันนี้<br />
<table align="center">
<tbody>
<tr><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/hookhaw1.jpg" /><br />
ไก่ป่าตุ้มหูขาว</td><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/hookhaw2.jpg" /><br />
ไก่ป่าตุ้มหูขาว</td></tr>
<tr><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/hoodang.jpg" /><br />
ไก่ป่าตุ้มหูแดง</td><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/hoomix.jpg" /><br />
ไกป่าตุ้มหูขาวผสมไก่พื้นบ้านหลายชั้น</td></tr>
</tbody></table>
<img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotsubject.gif" /><b> ไก่เหลืองหางขาว</b></dd><dd>มีถิ่นกำหนดเดิมอยู่ที่บ้านหัวเท ตำบลบ้านกร่าง จังหวัดพิษณุโลก
ไก่เหลืองหางขาวเป็นไก่ที่ฉลาดปราดเปรียว อดทน ลักษณะเด่นคือ
ตัวผู้จะมีสร้อยคอ สร้อยปีก สร้อยหลัง ขนปิดหูเหมือนกันตลอด มีจุดขาว 5
แห่ง คือ ที่ท้ายทอย หัวปีกทั้งสองข้าง ที่ข้อขาทั้งสองข้าง
บางตำราเรียกว่า ”พระเจ้า 5 พระองค์” เพศผู้มีสร้อยคอ สร้อยปีก สร้อยหลัง
เป็นสีเหลืองเหมือนกันตลอด ขนสีตัวเป็นสีดำ ส่วนปาก แข้ง เล็บ เดือย
มีสีขาวอมเหลืองคล้ายสีงาช้าง ลูกตาสีเหลืองอ่อน ”เรียกว่าตาปลาหมอตาย”
ส่วนเพศเมียมีขนพื้นตัวเป็นสีดำตลอดมีกระขาว 2 หย่อมเหมือนกัน<br />
<table align="center">
<tbody>
<tr><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/hangkhaw1.jpg" /></td><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/hangkhaw2.jpg" /></td></tr>
<tr><td align="center" colspan="2">ไก่เหลืองหางขาว</td></tr>
</tbody></table>
<img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotsubject.gif" /><b> ไก่ประดู่หางดำ</b></dd><dd>มีถิ่นกำหนดแถวภาคกลาง เพศผู้มีสร้อยคอ สร้อยปี
สร้อยหลังและขนปิดหูเป็นสีประดู่ ถ้าสีแก่จะเรียกว่า
”ประดู่เมล็ดมะขามคั่ว” ถ้าสีอ่อนจะเรียกว่า ”ประดู่แดง” หางพัด
และกะลวยสีดำปลอด ไม่มีขาวแซม พื้นสีลำตัวไม่มีสีอื่นแซม ตาสีไพร ส่วนปาก
แข้ง เดือย เป็นสีเขียวอมดำ หรือดำสนิท เพศเมีย มีขนสีดำสนิทรับกันทั้งตัว
ไม่มีสีขาวแซม บางตัวมีขลิบสร้อยคอสีประดู่
ถือว่าเป็นไก่พันธ์แท้ ส่วนปาก แข้ง เดือย ลักษณะเหมือนเพศผู้<br />
<table align="center">
<tbody>
<tr><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/hangdum1.jpg" /></td><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/hangdum2.jpg" /></td></tr>
<tr><td align="center" colspan="2">ไก่ประดู่หางดำ</td></tr>
</tbody></table>
<img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotsubject.gif" /><b> ไก่ประดู่แสมดำ</b></dd><dd>มีถิ่นกำเนิดอยู่แถบพื้นที่ภาคกลางเป็นหลัก อาจมีพบในภูมิภาคอื่นบ้างปะปราย ซึ่งในปัจจุบันพบเห็นได้น้อยมาก
ลักษณะ เพศผู้จะมีสีสร้อยคอ สนับปีก สร้อยหลังรวมถึงขนปิดหู เป็นสีประดู่ ซึ่งมีทั้งสีประดู่แดงและประดู่เม็ดมะขาม ขนพื้น
ตัวเป็นสีดำ ปีกและหางพัดรวมถึงหางกะลวยเป็นสีดำปราศจากสีขาวแซม ปาก และสีตาดำสนิท แข้ง เล็บ เดือย เป็น สีดำ ใบ
หน้าจะมีสีแดงคล้ำ(แดงอมดำ) ขอบตาดำ ผิวหนังบริเวณลำตัวจะเป็นสีคล้ำ(แดงอมดำ) ในช่วงที่ยังเล็กอยู่มักจะมีสีผิวดำ
ทั้งใบหน้า และบริเวณลำตัวไก่ประดู่แสมดำเพศเมียจะมีขนพื้นตัวเป็นสีดำตลอดตัว ใบหน้าจะมีสีดำชัดเจนมากกว่าตัวผู้มาก
ปาก แข้ง เล็บ มีสีดำสนิท<br />
<table align="center">
<tbody>
<tr><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/samaedum1.jpg" /></td><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/samaedum2.jpg" /></td></tr>
<tr><td align="center" colspan="2">ไก่ประดู่แสมดำ</td></tr>
</tbody></table>
<img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotsubject.gif" /><b> ไก่เขียวหรือเขียวแมลงภู่</b></dd><dd>เพศผู้มีสร้อยคอ สร้อยปีก สร้อยหลังและขนปิดหู สีเขียวอมดำคล้ายสีแมลงภู่ สีขนพื้นตัวเป็นสีมันดำ หางพัด และหางกะลวยสี
ดำตลอด ส่วนปาก แข้ง เล็บ ตา มีสีเขียวอมดำ ส่วนเพศเมียมีพื้นสีตัวเป็นสีดำ ปลายขนเป็นเงาออกเขียวส่วนอื่นๆ เหมือนเพศผู้<br />
<table align="center">
<tbody>
<tr><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/keawphoo1.jpg" /></td><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/keawphoo2.jpg" /></td></tr>
<tr><td align="center" colspan="2">ไก่เขียวหรือเขียวแมลงภู่</td></tr>
</tbody></table>
<img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotsubject.gif" /><b> ไก่ประดู่เลาหางขาว</b></dd><dd>เพศผู้ ขนพื้นตัวสีดำ ขนปี หางพัดสีขาวปนดำ หางกะลวยกลางสีขาว ส่วนคู่อื่นๆ มีสีขาวปลายดำ ขนสร้อยคอ สร้อยปี สร้อย
หลัง มีสีประดู่เลา คือโคนสร้อยสีขาวปลายสร้อยสีประดู่ ปาก แข้ง เดือย มีสีขาวอมเหลือง ไก่ประดู่เลาหางขาว มี 4 เฉดสี คือ
ประดู่เลาใหญ่ ประดู่เลาเล็ก ประดู่เลาแดง และประดู่เลาดำ<br />
<table align="center">
<tbody>
<tr><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/pradoohangkhaw1.jpg" /></td><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/pradoohangkhaw2.jpg" /></td></tr>
<tr><td align="center" colspan="2">ไก่ประดู่เลาหางขาว</td></tr>
</tbody></table>
<img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotsubject.gif" /><b> ไก่เขียวเลาหางขาว</b></dd><dd>เพศผู้ขนพื้นตัวสีดำ และขนปีกหางสีดำ หางกะลวยคู่สีขาว ส่วนคู่อื่นๆ มีสีขาวปลายดำ สร้อยคอ สร้อยปีก สร้อยหลังสีเขียวเลา
คือ ขนสร้อยท่อนล่างสีขาว องปลายสีเขียว ส่วนปาก แข้ง เล็บ สีขาวอมเหลืองหรือขาวงาช้าง มี 3 สายพันธุ์ คือ 1.เขียวเลา
ใหญ่พระเจ้า 5 พระองค์ 2.เขียวเลาเล็กหางขาว 3.เขียวเลาดอกหางขาว<br />
<table align="center">
<tbody>
<tr><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/keawhangkhaw1.jpg" /></td><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/keawhangkhaw2.jpg" /></td></tr>
<tr><td align="center" colspan="2">ไก่เขียวเลาหางขาว</td></tr>
</tbody></table>
<img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotsubject.gif" /><b> ไก่ลายหางขาว</b></dd><dd>เพศผู้ขนพื้นตัวลาย ขนปีก ขนหางพัดลาย หางกะลวยคู่กลางสีขาวปลอด คู่อื่นๆ สีขาวปลายลาย ส่วนปาก แข้ง เล็บ เป็นสีขาว
อมเหลือง<br />
<table align="center">
<tbody>
<tr><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/linehangkhaw1.jpg" /></td><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/linehangkhaw2.jpg" /></td></tr>
<tr><td align="center" colspan="2">ไก่ลายหางขาว</td></tr>
</tbody></table>
<img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotsubject.gif" /><b> ไก่ขาวหรือไก่ชี</b></dd><dd>ชีเพศผู้ขนพื้นตัวสีขาว ขนสร้อยคอ สร้อยปีก สร้อยหลัง เป็นระย้าสีขาวรับกันกับปาก แข้ง เล็บ
และมีเดือย สีขาวอมเหลือง หางดัด กางกะลวยเป็นสีขาว ส่วนลักษณะเพศเมียเหมือนเพศผู้
ไก่ขาวแบ่งตามเฉดสีได้ 4 ชนิด คือ ไก่ชีขาว แพรขาว ขาวกระดำ และขาวกระแดง<br />
<table align="center">
<tbody>
<tr><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/khaw1.jpg" /></td><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/khaw2.jpg" /></td></tr>
<tr><td align="center" colspan="2">ไก่ขาวหรือไก่ชี</td></tr>
</tbody></table>
<img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotsubject.gif" /><b> ไก่นกแดง</b></dd><dd>เพศผู้ขนพื้นลำตัว หน้าคอ หน้าท้อง ใต้ปีกสีแดงเพลิงตลอด ขนสร้อยคอ สร้อยปีก สร้อยหลัง ด้านขนสีแดง หางพัด หาง
กะลวย ก้านหางสีแดง และเป็นรู้หางม้า ปากสีเหลืองอมแดง รับกับสีแข้ง เล็บ และเดือย ไก่นกแดงมี 4 เฉดสี คือ แดงชาด
แดงทับทิม แดงเพลิง และแดงนาก ส่วนเพศเมีย ขนพื้นตัว ขนหลัง ขนหาง และขนสร้อยคอ มีสีแดงรับกันตลอดทั้งตัว ปาก
แข้ง เดือย เหมือนเพศผู้<br />
<table align="center">
<tbody>
<tr><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/nokdang1.jpg" /></td><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/nokdang2.jpg" /></td></tr>
<tr><td align="center" colspan="2">ไก่นกแดง</td></tr>
</tbody></table>
<img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotsubject.gif" /><b> ไก่เทา</b></dd><dd>เพศผู้มีขนสร้อยคอ สร้อยหลังสีเหลือง หางพัด และหางกะลวยสีเทาปนขาวสลับดำ ขนพื้นตัวสีเทาตลอดส่วนปาก แข้ง เดือยสี
ขาวอมเหลือง สีเทาอมดำ เรียกว่า ”เท่าขี้ควาย” สีเทาอมขาวเรียกว่า ”เทาขี้เถ้า” และสีเทาสร้อยเหลือง เป็นไก่เทายอดนิยมเรียก
ว่า ”เทาฤๅษี” หรือ ”เทาทอง” เพศเมียขนพื้นตัว ขนหลัง ขนปีก ขนหาง และขนสร้อยคอเป็นสีเทากันตลอดทั้งตัว ส่วนปาก แข้ง
เดือย เหมือนเพศผู้<br />
<table align="center">
<tbody>
<tr><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/toa1.jpg" /></td><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/toa2.jpg" /></td></tr>
<tr><td align="center" colspan="2">ไก่เทา</td></tr>
</tbody></table>
<img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotsubject.gif" /><b> ไก่นกกรด</b></dd><dd>เพศผู้ ขนพื้นลำตัวสีดำสนิท ขนสร้อยคอ สร้อยปี สร้อยหลังระย้าเป็นสีแดงอมน้ำตาลอ่อนๆ ขนหางพัด หางกะลวยสีดำปลอด
ไม่มีสีอื่นแซม แต่ก้านขนจะมีสีแดงเข้ม ส่วนปาก แข้ง เล็บ เดือย สีเหลืองแกมแดง ไก่นกกรดแบ่งได้ 4 สี ได้แก่ นกกรดแดง
นกกรดดำ นกกรดเหลือง และนกกรดกะปูด ส่วนเพศเมียขนพื้นลำตัวสีน้ำตาลแบบสีกาบอ้อย ขนสร้อยคอ ขนหลัง ขนปีก
มีสีน้ำตาล ปลายปีกสีน้ำตาลเข้ม ส่วนอื่นๆ เหมือนเพสผู้<br />
<table align="center">
<tbody>
<tr><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/nokkod1.jpg" /></td><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/nokkod2.jpg" /></td></tr>
<tr><td align="center" colspan="2">ไก่นกกรด</td></tr>
</tbody></table>
<img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotsubject.gif" /><b> ไก่ทองแดง</b></dd><dd>เพศผู้ ขนพื้นตัวตั้งแต่บริเวณหน้าคอ หน้าอก ใต้ปีก ใต้องเป็นสีแดง หางพัด กะลวยสีดำสนิทไม่มีสีอื่นแซม หางยาวพุ่งตรง
สวยงาม ส่วนปาก แข้ง เล็ด มีสีเหลืองอมแดง ดวงตาสีแดง ไก่ทองแดงหางดำ แบ่งได้ 4 สี ได้แก่ ทองแดงใหญ่ ทองแดง
ตะเภาทอง ทองแดงแข้งเขียวตาลาย ทองแดงอ่อนหรือสีปูนแห้ง ส่วนเพศเมียขนสีพื้นตัวด้านล่าง หน้าคอ หน้าอก ในปีก ใ
ต้ท้อง ก้นมีสีแดง และส่วนอื่นๆ เหมือนเพศผู้<br />
<table align="center">
<tbody>
<tr><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/tongdang1.jpg" /></td><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/tongdang2.jpg" /></td></tr>
<tr><td align="center" colspan="2">ไก่ทองแดง</td></tr>
</tbody></table>
<img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotsubject.gif" /><b> ไก่สีดอกหมากหางขาวหรือลีโย</b></dd><dd>ไก่พันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดทางภาคกลาง คล้ายไก่เหลืองหางขาวผสม ลักษณะสร้อยคอปลายขนจะออกขาวอมเหลือง คล้ายสีดอก
หมาก กะลวยหางสีขาวปลอดสีดำที่ปลายหาง พื้นตัวสีดำ เดือยและก้านปีกสีขาวอมเหลือง<br />
<table align="center">
<tbody>
<tr><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/leeyo1.jpg" /></td><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/leeyo2.jpg" /></td></tr>
<tr><td align="center" colspan="2">ไก่สีดอกหมากหางขาวหรือลีโย</td></tr>
</tbody></table>
<img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotsubject.gif" /><b> ไก่พม่า</b></dd><dd>เป็นไก่ที่นำเข้าจากพม่า ตัวเล็กน้ำหนักประมาณ 2 กิโลกรัม ปากแหลมสีดำ ขนสีดอกหมาก สร้อยคอสร้อยสร้อยปีกเป็นสีดอก
หมาก หางสีดำ แข้งเล็กสีดำ หรือบางตัวจะเป็นไก่สีกรดมีความว่องไวมาก กระโดดสูง นิยมเลี้ยงกันทางภาคเหนือ ส่วนภาค
อื่นๆ นิยมนำมาเป็นพ่อพันธุ์เพื่อผสมสายพันธ์ตามชั้นเชิงที่ต้องการ<br />
<table align="center">
<tbody>
<tr><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/parmar1.jpg" /></td><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/parmar2.jpg" /></td></tr>
<tr><td align="center" colspan="2">ไก่พม่า</td></tr>
</tbody></table>
<img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotsubject.gif" /><b> ไก่ด่างเบญจรงค์</b><br />
<table align="center">
<tbody>
<tr><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/benjarong1.jpg" /></td><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/benjarong2.jpg" /></td></tr>
<tr><td align="center" colspan="2">ไก่ด่างเบญจรงค์</td></tr>
</tbody></table>
<img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotsubject.gif" /><b> ไก่เหล่าป่าก๋อย</b><br />
<table align="center">
<tbody>
<tr><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/parkoi1.jpg" /></td><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/parkoi2.jpg" /></td></tr>
<tr><td align="center" colspan="2">ไก่เหล่าป่าก๋อย</td></tr>
</tbody></table>
</dd></td></tr>
</tbody></table>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09284329454802728091noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7399262009816850879.post-33698534632854315882013-05-27T09:04:00.003-07:002013-05-27T09:04:35.663-07:00 ไก่ชนเมืองพิษณุโลก ไก่ชนเมืองพิษณุโลก <br />
<br />
<img alt="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgQ3rWK2-wf7G8XLWxYH8mx9_0yOhGhHTc3QMHCa_P9VEkYeQDcAYxL0mgXPRgQ27chjLfQQq2K3lurXi3dDhrRE4siw5cTx4EFNVNxcNGolr48rbFr_tmK3um747wEH-qTSuQ3vHnDnLo/s1600/14739_full.jpg" class="decoded" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgQ3rWK2-wf7G8XLWxYH8mx9_0yOhGhHTc3QMHCa_P9VEkYeQDcAYxL0mgXPRgQ27chjLfQQq2K3lurXi3dDhrRE4siw5cTx4EFNVNxcNGolr48rbFr_tmK3um747wEH-qTSuQ3vHnDnLo/s1600/14739_full.jpg" /><br />
โดยทั่วไป "การเลี้ยงไก่ชน" และ "การชนไก่" เป็นของคู่กัน ของชนบท ไทยทั่วไป ดังคำพังเพยที่ว่า "เสร็จจากการทำนา ก็กัดปลาชนไก่" และการทำนากับการชนไก่ ก็เป็นของคู่กันอีก ในสมัยก่อน การนวดข้าวต้องใช้แรงจากคนตีข่าวให้ร่วง ต้องมีลานตากข้าว และต้องไปนอนเฝ้า การเลี้ยงไก่ควบคู่กันไป เพราะว่ามีข้าวเปลือกมาก เป็นอาหารไก่ ไก่ก็อุดมสมบูรณ์ในฤดูหนาวที่เก็บเกี่ยวข้าวกัน จะตรงกับฤดูผสมพันธุ์ไก่ เลี้ยงลูกไก่ หรือแม้แต่การเลี้ยงไก่ชนกัน ซึ่งจุดนี้ทำให้การชนไก่สืบสานต่อมาจนถึงปัจจุบัน<br />
การเลี้ยงไก่ชนเมืองพิษณุโลก พอจะแยกกล่าวได้ 4 ระยะ คือ<br />
1. ยุคประวัติศาสตร์ (2523 - 2533)<br />
2. ยุคไก่ชนพระนเรศวรรุ่งเรือง (2534 - 2544)<br />
3. ยุครวมพลังสร้างชื่อไก่ชนพระนเรศวร (2545 - 2555)<br />
4. ยุควิทยาศาสตร์ไก่ชนพระนเรศวร (2556 ++)<br />
1. ยุคประวัติศาสตร์<br />
เมืองพิษณุโลก ก็เหมือนเมืองอื่นๆ โดยทั่วไปที่ชนบทมีการเลี้ยงไก่ไทย "ไก่ไทย" คำๆ นี้ต้องวิเคราะห์กันให้ดีเหมือน "คนไทย" คือ คนไทยเกิดมาแล้ว โตขึ้นต้องใช้อาวุธมวยไทยเป็นทุกคนแต่กำเนิด โดยไม่ต้องสอน คือ เตะ ถีบเป็น ใส่ศอกเป็น ไก่ไทยก็เช่นกัน เมื่อมีการเลี้ยงไก่ตามชนบท ถ้าเจ้าของเป็นนักเลงชนไก่ ก็จะเอาไก่ตัวผู้มาซ้อมคัดเลือกตัวเก่งไว้ชน ถ้าเจ้าของไม่ใช่นักเลงชนไก่ก็จะเลี้ยงไก่ไว้ต้มแกงเป็นอาหาร และขาย ดังนั้น ไก่ไทยจึงมีวิญญาณในการชนเป็นด้วย เชื่อกันว่า ไก่ชนไทยได้เลี้ยงกันมาไม่ต่ำกว่า 700 ปี ไก่ไทยจึงเป็นภูมิปัญญาไทย เลี้ยงและคัดเลือกสายพันธุ์มาโดยตลอด เพื่อสรรหาไก่เก่งไว้ชนกัน จนกระทั่งได้พันธุ์เก่งที่ในประวัติศาสตร์ชาติไทยมากว่า 400 ปีแล้ว สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้นำไปชนถึงขนาดท้าชนเอาบ้านเอาเมืองเป็นเดิมพัน คือไก่ชนเหลืองหางขาวที่ชนชนะไก่ชนของพระมหาอุปราชาที่ประเทศพม่ามาแล้ว ผู้เขียนได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องไก่ชนพระนเรศวรจากประวัติศาสตร์มาก่อนหน้านี้ ตั้งแต่เริ่มรับราชการที่จังหวัดพิษณุโลกครั้งแรกปี 2514 สรุปรวมความว่า "ไก่เหลืองหางขาวกินเหล้าเชื่อ" "ไก่เหลืองหางขาวไก่เจ้าเลี้ยง" เป็นไก่ที่สืบสายเลือดมาจากไก่ที่สมเด็จพระนเรศวรนำไปชนชนะไก่พม่าในวันนั้นและไก่ชนสมัยนั้น ได้สืบสายเลือดเหลืองหางขาวมาจนกระทั่งทุกวันนี้<br />
ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2533 เป็นวันครบรอบ 400 ปี การขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระนเศวรมหาราช จังหวัดพิษณุโลกได้จัดให้มีการประกวดไก่ชนพระนเศวรขึ้น มีไก่ส่งเข้าประกวดถึง 633 ตัว เราได้ไก่ที่ชนะเลิศ 5 ตัว ที่ 1, 2, 3 และชมเชย 2 ตัว และเราได้ประกวดสุ่มไก่ด้วย มีผู้ที่ส่งเข้ามา 574 ใบ การเลี้ยงไก่ชนกับสุ่มไก่เป็นของคู่กัน เมื่อเลี้ยงไก่ต้องใช้สุ่มครอบ เมื่อไก่ชนรุ่งเรือง กิจกรรมสานสุ่มก็รุ่งเรืองด้วย จากนั้นเป็นต้นมาคนทั่วประเทศเริ่มรู้จักไก่ชนพระนเรศวรมากขึ้นตามลำดับ<br />
1.1 การส่งเสริมภาครัฐ<br />
ในยุคนี้ ภาครัฐมองข้ามไก่ไทย มองเห็นแต่ไก่ลูกผสม คือ นำไก่ไทยผสมกับไก่เนื้อและไก่ไข่ เพื่อหวังผลการแข็งแรงจากสายเลือดไก่ไทย ได้เนื้อมากจากไก่เนื้อ และไข่ดกจากไก่ไข่ จึงมีการส่งเสริมมุ่งทางนี้ ดังนั้น การอนุรักษ์ไก่ไทยก็เป็นไปตามมีตามเกิด ขึ้นอยู่กับคนชนบทที่สืบสานการเลี้ยงอนุรักษ์พันธุ์เรื่อยมา เนื่องจากไก่สามสายเลือดมีความต้านทานโรคน้อยและตลาดไม่ต้องการ จึงทำให้มีการกระจายพันธุ์ลูกผสมน้อยลง แต่ความต้องการไก่ไทยนั้น ตลาดกลับต้องการมากขึ้น จะเห็นได้จากราคาที่ซื้อ ไก่ไทยจะมีราคาสูงกว่าไก่ลูกผสม การประกวดในงานนเรศวรมหาราชและงานกาชาดของจังหวัด ปี 2527 สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดพิษณุโลก ได้จัดประกวดไก่ไทยขึ้นเป็นครั้งแรกของจังหวัดพิษณุโลกหรือครั้งแรกของประเทศไทยก็ได้ โดยจัดประกวดไก่ชน ไก่ตะเภา ไก่ขนหยอง และไก่พื้นเมืองอีกมากมาย<br />
<img height="" id="irc_mi" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiKIEE7tsvSq4EiLOaDxs3VBSN2uPpTLL_a6i3nmLldMjDKE0dUXF4z4XWpYYKGFCV5sgGxQMCD4qDZRzrsSwIzeFB9T0o-suHkZPEIMCdFQd5GHl5B-hzbB-9hf0NbLFMmScLIZjyi-f5T/s1600/%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%25992.jpg" style="margin-top: 52px;" width="291" /><br />
1.2 บ่อนไก่<br />
เมื่อก่อนมีบ่อนไก่ในจังหวัดพิษณุโลก จำนวน 8 บ่อน จะเห็นได้ว่า เมื่อบ่อนไก่มาก การเลี้ยงไก่ก็มากด้วย ระยะหลังบ่อนไก่เหลือ 2 แห่งเท่านั้น แสดงว่าการเลี้ยงไก่ซบเซาลงมาก เนื่องจากกระทรวงมหาดไทย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสมัยนั้น คือ พลเอกสิทธิ จิระโรจน์ ได้ออกกฏกระทรวงห้ามตั้งบ่อนไก่ขึ้นมาใหม่ ดังนั้นบ่อนไก่ที่มีมานาน ต่อมาก็หมดอายุ เมื่อเจ้าของบ่อนเสียชีวิต เพราะไม่สามารถต่อทะเบียนได้ ทำให้บ่อนลดลงเรื่อยๆ ผู้เลี้ยงไก่ชนจึงนิยมชนบ่อนAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/09284329454802728091noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7399262009816850879.post-31905335855160662982013-05-27T09:01:00.001-07:002013-05-27T09:01:27.246-07:00430 ปี ไก่ชนพระนเรศวร<span style="color: red;"> "ไก่เหลืองหางขาวไก่เจ้าเลี้ยง"</span>
ชาวพิษณุโลกได้ยินได้พูดคำคล้องจองนี้มาตั้งแต่โบราณกาล
แสดงว่าไก่สกุลเหลืองหางขาวเป็นไก่สกุลสูงรูปร่างสวยงามและยังชนเก่ง
เป็นไก่ที่ผูกขาดการเลี้ยงในวังและเจ้านายในวังเท่านั้น
เมื่อเวลาล่วงเลยมาหลายร้อยปี
ไก่สกุลเหลืองหางขาวได้แพร่พันธุ์มาสู่เกษตรกรราษฎรชาวไทยทั่วประเทศ
และความเก่งของไก่เหลืองหางขาวยังเป็นที่ยอมรับของนักเลงไก่ทั่วไป
จึงมีคำพังเพยว่า <span style="color: red;">"ไก่เหลืองหางขาวกินเหล้าเชื่อ"</span> นี่เป็นที่เลื่องลือกัน ถ้าไก่เหลืองหางขาวเปรียบได้คู่ตี แล้วไปสั่งเหล้ามากินก่อนได้<br />
<br />
<dd><span style="color: red;">430 ปี</span> แล้วที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ชนไก่พระมหาอุปราชา เมื่อพระชนมายุได้ 23 พรรษา ตรงกับ พ.ศ. 2121
ซึ่งนับถึงปัจจุบันจะได้ 430 ปีพอดี
เมื่อเราย้อนอดีตจะเห็นได้ว่าพระปรีชาสามารถของท่านที่กล้าท้าพระมหาอุปราชา
ชนไก่พนันเอาบ้านเมืองเป็นเดิมพัน ไก่ชนของเราต้องเก่งจริงๆ
แล้วมาถึงปัจจุบันลูกหลานคนไทยเราได้ทำอะไรบ้างเกี่ยวกับไก่ชนสายพันธุ์นี้
เราต้องกระตุ้นเตือนให้นักเลงไก่ชนนักอนุรักษ์พันธุ์สัตว์และผู้บริหารระดับ
สูงให้หันมาสนใจไก่ชนพระนเรศวรสายพันธุ์ที่เก่งและมีบุญคุณอันสูงส่งต่อ
ประเทศไทย และความเป็นคนไทยของเรา</dd><dd>วันที่ 29 กรกฎาคม 2533
สิบสองปีมาแล้วที่จังหวัดพิษณุโลกจัดประกวดไก่ชนพระนเรศวรครั้งแรกของประเทศ
ไทย เป็นการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่และท้าทายที่สุด ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
เพราะว่าในการประกวดไก่ครั้งนี้
ผู้ส่งไก่เข้าประกวดยังไม่รู้เลยว่าไก่ชนพระนเรศวรหน้าตาเป็นอย่างไร
เพียงแต่ทราบข่าวว่ามีการประกวดไก่ชนพระนเรศวรก็นำไก่ที่ตัวเองเลี้ยงไว้มา
ประกวดถึง 633 ตัว ส่วนการตัดสินนั้นผู้เขียนได้ศึกษามาแล้วก่อนล่วงหน้า
ตั้งแต่มาทำงานที่พิษณุโลก
และมีเป้าหมายที่ไก่เหลืองหางขาวเป็นไก่ชนพระนเรศวร
คณะกรรมการตัดสินก็ลงความเห็นเช่นเดียวกัน
จึงเกิดมีการประกวดแพร่หลายมาจนถึงปัจจุบัน ต่อมาปี พ.ศ. 2535
ผู้เขียนได้เขียน "เรื่องไก่ชนพระนเรศวร"
และตั้งกลุ่มอนุรักษ์ขึ้นมาจึงทำให้เราได้ใช้มาตราฐานพันธุ์ (อุดมทัศนีย์)
ตามที่ได้เผยแพร่มาจนปัจจุบัน เป็นที่น่าดีใจที่ รศ.ดร.อภิชัย รัตนวราหะ
ได้ก่อตั้ง <span style="color: red;">"สมาคมอนุรักษ์ และพัฒนาไก่พื้นเมืองไทย"</span> ในปี พ.ศ. 2540 ให้เป็นศูนย์รวมผู้สนใจผู้เลี้ยง นักเลงไก่ ตลอดจนชมรมต่างๆ ทั่วประเทศไทย</dd><dd>อาจารย์ประดิษฐ์ เชื้อสิงห์ นับว่าเป็นผู้ที่ร่วมก่อตั้งชมรม
และการประกวดไก่ชนพระนเรศวร คู่กับสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดพิษณุโลกตลอดมา
เป็นผู้ที่ยอมรับนับถือของนักเลี้ยงไก่ชน และการประกวดไก่ชนทั่วประเทศ
ท่านเป็นผู้ที่เสียสละและทุ่มเทเกี่ยวกับเรื่องไก่ชนพระนเรศวร
ในงานแสดงละครกลางแจ้งของทุกปีที่แสดงพระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ในฉากชนไก่ อาจารย์ประดิษฐ์ เชื้อสิงห์
จะต้องจัดหาไก่และเข้าฉากแสดงทุกครั้ง
ที่ขาดไม่ได้เลยในพิธีบวงสรวงพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรฯ ในวันที่ 25
มกราคมของทุกปี ท่านอาจารย์จะรับหน้าที่จัดหาไก่ชนพระนเรศวร
และไก่พม่ามาตีกันและเข้าร่วมในพิธีทุกครั้งเช่นกัน</dd><dd>ที่ได้เล่ามาทั้งหมดนี้ เป็นการจุดประกายให้พวกเราได้คิดว่า 430
ปีแล้ว เราทำงานได้ 12 ปี มีผลงานนิดเเดียว
เราน่าจะทราบว่าสมเด็จพระนเรศวรฯ ได้ชนไก่ "วันที่เท่าไร" "เดือนอะไร"
อยากให้พวกเราได้คนคว้าจะได้มาจัดงานตรงกับวันที่ท่านชนไก่ชนะให้ยิ่งใหญ่
ทุกๆ ปี
นอกจากนี้นักอนุรักษ์ของเราได้ผสมพันธุ์สายพันธุ์นี้ได้นิ่งแล้วหรือยัง
นิ่งหมายความว่าลูกไก่ในฟาร์มที่เกิดมาต้องเป็นไก่เหลืองหางขาวทุกตัว
นี่เป็นเรื่องใหญ่ เป็นงานหนักของพวกเราที่ต้องทำให้ได้
ซึ่งจะนำผลไปสู่การศึกษาเรื่อง ดี.เอ็น.เอ การจดลิขสิทธิ์พันธุ์
ตลอดจนการเก็บอนุรักษ์ยีนส์ไว้ เรื่องนี้กรมปศุสัตว์กำลังดำเนินการอยู่
จะเห็นว่างานข้างหน้าที่พวกเรากำลังเดินอยู่เป็นเรื่องใหญ่ทั้งกำลังกายและ
กำลังความคิด ขอให้พวกเราช่วยกันก็จะประสบความสำเร็จเป็นแน่แท้<br />
<table align="center">
<tbody>
<tr><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/model2533.jpg" /></td></tr>
<tr><td align="center">ไก่ชนต้นแบบที่ชนะเลิศการประกวดในงานฉลองครองราชย์ 400 ปี สมเด็จพระนเรศวร ปี 2533</td></tr>
</tbody></table>
</dd>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09284329454802728091noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7399262009816850879.post-7422876472047828642013-05-27T08:58:00.000-07:002013-05-27T08:58:02.414-07:00มาตราฐานพันธุ์ไก่ชนพระนเรศวร มาตราฐานพันธุ์ไก่ชนพระนเรศวร <br /> <img height="290" id="irc_mi" src="https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRBFe38rbpTq6i8_jgRu2891LsRzwL-coWgSvxR2k1GrBPXYRNCGw" style="margin-top: 52px;" width="470" /><br /><br />ความเป็นมา<br /> ไก่ชนพระนเรศวร เป็นไก่ชนตามประวัติศาสตร์ ซึ่งปรากฏอยู่ในพงศาวดาร เมื่อครั้งที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงพำนักอยู่ในประเทศพม่า พระองค์ทรงนำไก่เหลืองหางขาวไปจากเมืองพิษณุโลก เพื่อนำไปชนกับไก่ของพระมหาอุปราชา เป็นไก่ที่มีลักษณะพิเศษ มีความเฉลียวฉลาดในการต่อสู้ จึงชนชนะ จนได้รับฉายาว่า "เหลืองหางขาว ไกเจ้าเลี้ยง" ซึ่งสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดพิษณุโลกได้ศึกษาค้นคว้า และทำการส่งเสริมเผยแพร่ โดยจัดประกวดครั้งแรกขึ้นเมื่อ 29 กรกฎาคม 2533 และในปี 2534 ได้ จัดตั้งชมรมอนุรักษ์ไก่ชนพระนเรศวรขึ้นที่ตำบลหัว อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก จนถึงปี 2542 ได้จัดตั้งกลุ่มอนุรักษ์และพัฒนาพันธู์ไก่ชนพระนเรศวรขึ้นทุกอำเภอ รวม 12 กลุ่ม เพื่ออนุรักษ์และพัฒนาสายพันธุ์ให้คงอยู่เป็นสมบัติคู่ชาติต่อไป<br /> แหล่งกำเนิด<br /> ไก่ชนพระนเรศวร เป็นไก่ชนสายพันธุ์เหลืองหางขาวและเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปแล้วว่า มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่จังหวัดพิษณุโลก จนถึงขณะนี้ ไก่ชนพระนเรศวร นับว่าเป็นของดีของจังหวัดพิษณุโลก และเป็นสมบัติของชาติไทย ที่กำลังได้รับความสนใจกันอย่างแพร่หลายทั่วประเทศ ดังนั้น เพื่อให้การอนุรักษ์และพัฒนาพันธุ์ไก่ชนพระนเรศวร ดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์และลักษณะประจำพันธุ์ที่แน่นอน สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดพิษณุโลกจึงได้กำหนดมาตราฐานพันธุ์ไก่ชนพระนเรศวรขึ้นเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2542 ดังต่อไปนี้<br /> สายพันธุ์ : เหลืองหางขาว<br /> ขนาด : เพศผู้ มีน้ำหนักตั้งแต่ 3 กิโลกรัมขึ้นไป สูงตั้งแต่ 60 เซนติเมตรขึ้นไป (วัดจากใต้ปากล่างตั้งฉากถึงพื้นที่ยืน) และเพศเมีย มีน้ำหนักตั้งแต่ 2 กิโลกรัมขึ้นไป 2 กิโลกรัมขึ้นไป สูงตั้งแต่ 45 เซนติเมตรขึ้นไป<br /> ลักษณะประจำพันธุ์<br /> เพศผู้หรือพ่อพันธุ์<br /> 1. หัว : มีขนาดเล็กคล้ายหัวนกยูง<br /> 1.1 กระโหลก : กระโหลกอวบกลมยาว 2 ตอน ส่วนหน้าเล็กกว่าส่วนท้าย<br /> 1.2 หน้า : ลักษณะคล้ายหน้านกยูง มีสีแดงจัด<br /> 1.3 ปาก : รูปร่างคล้ายปากนกแก้ว ลักษณะแข็งแรงมั่นคง มีสีขาวอมเหลือง โคนปากใหญ่ขอบ<br /> ปากและปลายปากคม ปากบนปิดปากล่างสนิท ปากบนมีร่องลึกตั้งแต่โคนตรงรูจมูกถึงกลางปาก<br /> 1.4 หงอน : ลักษณะหน้าหงอนบาง กลางหงอนสูง ปลายหงอนกด กระหม่อมมีสีแดงจัด<br /> 1.5 จมูก : รูจมูกกว้างและยาว ฝาปิดรูจมูกมีสีขาวอมเหลือง<br /> 1.6 ตา : มีขนาดเล็ก ตาขาวมีสีขาวอมเหลือง (ตาปลาหมอตาย) มีเส้นเลือดแดงโดยรอบ หัวตา<br /> แหลมเป็นรูปตัววี (V) มีลักษณะเรียวและสดใส<br /> 1.7 หู : หูทั้งสองข้างมีขน 3 สี คือ สีขาว สีเหลือง และสีดำ ขนหูมีมากปิดรูหูสนิท ไม่มีขี้หู<br /> 1.8 ตุ้มหู : ตุ้มหูเป็นเนื้อสีแดงจัดเหมือนสีของหน้า ขนาดไม่ใหญ่และไม่ยาน<br /> 1.9 เหนียง : ต้องไม่มี (ลักษณะคางรัดเฟ็ด)<br /> 1.10 คิ้ว : โหนกคิ้วนูนเป็นสันโค้งบังเบ้าตา<br /> 2. คอ : คอยาว (2 วง) และใหญ่ กระดูกข้อถี่<br /> 3 . ลำตัว : ลำตัวกลมยาว (ทรงหงส์) จับได้ 2 ท่อน<br /> 3.1 ไหล่ : กระดูกซอกคอใหญ่ ไหล่กว้าง<br /> 3.2 อก : อกกว้างใหญ่ กล้ามเนื้อเต็ม กระดูกหน้าอกแข็งแรง โค้งเป็นท้องเรือและยาว (ไม่คดงอ)<br /> 3.3 กระปุกหาง : มีขนาดใหญ่ชิดกับบั้นท้าย<br /> 3.4 ต่อมน้ำมัน : มีขนาดใหญ่ 1 ต่อม อยู่บนกระปุกหาง<br /> 3.5 ตะเกียบตูด : เป็นกระดูก 2 ชิ้น ออกจากกระดูกซี่โครงคู่สุดท้ายยาวมาถึงก้น แข็งแรง หนา <br /> โค้งเข้าหากัน และอยู่ชิดกัน<br /> 4. ปีก : เมื่อปีกกางออก จะเห็นกล้าามเนื้อปีกใหญ่หนาตลอดทั้งปีก เอ็นยึดกระดูกแข็งแรง ขนปีกขึ้นหนาแน่นชิด มีความยาวเรียงติดต่อกันจากหัวปีกถึงท้ายปีก และยาวถึงกระปุกหาง<br /> 5. ขา : ขาได้สัดส่วนกับลำตัว<br /> 5.1 ปั้นขา : กล้ามเนื้อโคนขาใหญ่ทั้งสองข้าง เวลายืนโคนขาอยู่ห่างกัน<br /> 5.2 แข้ง : มีลีกษณะเรียวเล็กกลม สีขาวอมเหลือง<br /> 5.3 เดือย : โคนมีขนาดใหญ่ ต่ำชิดนิ้วก้อย ส่วนปลายเรียว แหลมคม และงอนเล็กน้อย มีสีขาวอม<br /> เหลือง<br /> 6. เท้า : มีความสมบูรณ์ คือ นิ้วครบ ไม่คดงอ<br /> 6.1 นิ้ว : มีลักษณะยาว ปลายเรียว มีทองปลิงใต้ฝ่าเท้า นิ้วจะมีปุ่มตรงข้อลักษณะคล้ายเนื้อด้านนิ้ว<br /> ละ 3 ข้อ นิ้วกลาง มีเกล็ดตั้งแต่ 20 เกล็ดขึ้นไป ส่วน นิ้วก้อย จะสั้น<br /> 6.2 อุ้งตีน : หนังอุ้งตีนบาง เวลายืนอุ้งตีนไม่ติดพื้น<br /> 6.3 เล็บ : โคนเล็บใหญ่ หนา แข็งแรง ปลายแหลม มีสีเหมือนแข็ง คือ ขาวอมเหลือง<br /> 7. ขน : ขนเป็นมัน เงางามระยับ<br /> 7.1 ขนพื้น : มีสีดำตลอดลำตัว<br /> 7.2 สร้อย : มีลักษณะ "สร้อยประบ่า ระย้าประก้น" คือ สร้อยคอขึ้นหนาแน่นยาวประบ่า สร้อย<br /> หลังยาวระย้าประถึงก้น มีลักษณะเส้นเล็กระเอียด ปลายแหลม ส่วนสร้อยปีกและสนับปีกมีสีเดียวกัน<br /> 7.3 ขนปีก : ปีกนอก (ตั้งแต่หัวปีกถึงกลางปีก) มีไม่น้อยกว่า 11 เส้น ปีกใน (ตั้งแต่กลางปีกถึง<br /> ปลายปีก) มีสีดำไม่น้อยกว่า 12 เส้น ปีกไช (ปีกแซมปีกนอก) มีสีขาวไม่น้อยกว่า 2 เส้น เมื่อหุบปีกจะมอง<br /> เห็นสีขาวแลบออกมาตามแนวยาวของปีก 2-3 เส้น เมื่องกางปีกออกจะมองเห็นปีกนอกมีสีขาวเป็นจำนวน<br /> มาก<br /> 8. หาง : ยาวเป็นพวงและพุ่มเหือนฟ่อนข้าว<br /> 8.1 หางพัด : มีข้างละไม่น้อยกว่า 7 เส้น มีสีขาวเป็นจำนวนมาก<br /> 8.2 หางกระรวย : คือ ขนหางคู่กลาง ซึ่งเป็นหางเอก จะมีสีขาวปลอดทั้งเส้น มีขนรองหาง<br /> กระรวยหรือหางรับไม่น้อยกว่า 6 เส้น และมีสีขาวเป็นจำนวนมาก<br /> 8.3 ระย้าหลัง : เป็นส่วนที่ต่อจากสร้อยหลัง มีลักษณะปลายแหลมปกคลุมกระปุกหาง ขอบขนมีสี<br /> เหลืองเหมือนสร้อยหลัง<br /> 9. หลัง : หลังแผ่แบนขยายใหญ่<br /> 10. กิริยาท่าทาง<br /> 10.1 ท่ายืน : ยืนยืดอก หัวปีกยก ท่าผงาดดังราชสีห์<br /> 10.2 ท่าเดินและวิ่ง : ท่าเดิน สง่าเหมือนท่ายืน เวลาเดินเมื่อยกเท้าขึ้นจะกำนิ้วทั้งหมด เมื่อย่างลง<br /> เกือบถึงพื้นดินจะแบนิ้วออกมาทั้งหมด เวลาวิ่ง จะวิ่งด้วยปลายนิ้ว และวิ่งย่อขาโผตัวไปข้างหน้าเสมอ<br /> 10.3 ท่าขัน : ขันเสียงใหญ่ ยาว ชอบกระพือพีก และตีปีกแรงเสียงดัง<br /> 11. ลักษณะพิเศษ<br /> 11.1 พระเจ้าห้าพระองค์ : คือ มีหย่อมกระ (มีขนขาวแซม) 5 แห่ง ได้แก่ 1.หัว 2.หัวปีกทั้งสอง <br /> 3.ข้อขาทั้งสอง<br /> 11.2 เกล็ดสำคัญ : ได้แก่ เกล็ดพิฆาต เช่น เสือซ่อนเล็บ เหน็บชั้นใน ไชบาดาล เกล็ดผลาญศัตรู <br /> นอกจากนี้ยังมีเกล็ดกากบาท จักรนารายณ์ ฯลฯ<br /> 11.3 สร้อยคอ สร้อยหลัง สร้อยปีก (สนับปีก) : เป็นสีเหลืองทอง เรียกว่า เหลืองประภัสสร<br /> 11.4 สร้อยสังวาลย์ : เป็นสร้อยบริเวณด้านข้างลำตัว มีลักษณะและสีเดียวกับสร้อยคอ <br /> และสร้อยหลัง<br /> 11.5 ก้านขนสร้อยและหางกระรวย : มีสีขาว<br /> 11.6 บัวคว่ำ - บัวหงาย : บริเวณด้านใต้โคนหางเหนือทวารหนัก มีขนประสานกัน ลักษณะแหลม<br /> ไปที่โคนหาง ดูคล้ายบัวคว่ำ - บัวหงาย<br /> ลักษณะที่เป็นข้อบกพร่องของเพศผู้หรือพ่อพันธุ์<br /> 1. ข้อบกพร่องร้ายแรง<br /> 1.1 กระดูกอกคด<br /> 1.2 นิ้วหรือเท้าบิดงอ<br /> 1.3 ไม่มีเดือย<br /> 1.4 แข้งไม่ขาวอมเหลืองตลอด (แข้งมีสีดำหรือแข้งลาย)<br /> 2. ข้อบกพร่องไม่ร้ายแรง<br /> 2.1 เท้าเป็นหน่อ<br /> 2.2 ปากไม่ขาวอมเหลืองตลอด หรือมีจุดดำที่โคนปาก<br /> 2.3 ในขณะที่หุบปีก ขนปีกมีสีขาวแลบออกมาทางด้านขวาง คล้ายนกพิราบ<br /> 2.4 เดือยหัก หรือตัดเดือย<br /> 2.5 สุขภาพไม่สมบูรณ์ (เจ็บป่วยหรือมีบาดแผล)<br /> 2.6 ลักษณะไม่เป็นไปตามลักษณะประจำพันธุ์ข้างต้น<br /> เพศเมียหรือแม่พันธุ์<br /> 1. หัว : มีขนาดเล็กคล้ายหัวนกยูง ได้แก่ กระโหลก หน้า ปาก หงอน จมูก ตา หูและคิ้ว มีลักษณะคล้ายเพศผู้หรือพ่อพันธุ์<br /> 2. คอ : คอยาวใหญ่ และกระดูกคอถี่<br /> 3. ลำตัว : มีลำตัวยาวกลม (ทรงหงส์) ได้แก่ ไหล่ อก กระปุกหาง ต่อมน้ำมัน มีลักษณะคล้ายเพศผู้หรือพ่อพันธุ์ ส่วนปลายของตะเกียบตูดห่างกัน ทำให้ไข่ดกและฟองโต<br /> 4. ปีก : ลักษณะทั่วไปคล้ายกับเพศผู้หรือพ่อพันธุ์<br /> 5. ขา : ได้สัดส่วนกับลำตัว ปั้นขาและแข้งมีลักษณะเช่นเดียวกับเพศผู้หรือพ่อพันธุ์<br /> 6. เท้า : มีความสมบูรณ์ ทั้งนิ้ว อุ้งตีน และเล็บ<br /> 7. ขน : ขนเป็นมันเงางาม ขนพื้นมีสีดำตลอดลำตัว มีขนสีขาวกระ (สีขาวแซม) บริเวณหัว หัวปีกและข้อเท้า (ลักษณะพระเจ้าห้าพระองค์) ขนปีกเมื่อหุบปีก มีสีขาวแลบออกมาตามแนวยาวของปีกไม่เกิน 2 - 3 เส้น เมื่อกางปีก จะมีสีขาวเป็นจำนวนมาก<br /> 8. หาง : มีหางพัดเป็นจำนวนมาก ชี้ตรงหรือตั้งขึ้นเล็กน้อย มีสีขาวแซม<br /> 9. หลัง : เช่นเดียวกับเพศผู้หรือพ่อพันธุ์<br /> 10. กิริยาท่าทาง : การยืน การเดิน และการวิ่ง เช่นเดียวกับเพศผู้หรือพ่อพันธุ์ แต่มีลักษณะความเป็นแม่พันธุ์หรือเพศเมีย<br /> 11. ลักษณะพิเศษ : มีลักษณะพระเจ้าห้าพระองค์ และเกล็ดที่สำคัญเช่นเดียวกับเพศผู้หรือพ่อพันธุ์ หากมีเดือยจะดีมาก และมีสีขาวอมเหลืองด้วย<br /> ลักษณะที่เป็นข้อบกพร่องของเพศเมียหรือแม่พันธุ์<br /> 1. มีลักษณะเป็นข้อบกพร่องร้ายแรงเช่นเดียวกับเพศผู้หรือพ่อพันธุ์ เช่น กระดูกอกคด เท้าเป็น<br /> หน่อ และนิ้วหรือเท้าบิดงอ<br /> 2. ขนปีกและขนหาง มีจุดขาวมากเกินกว่า 10 เปอร์เซ็นต์<br /> 3. สุขภาพไม่สมบูรณ์ (เจ็บป่วยหรือมีบาดแผล)<br /> 4. ลักษณะไม่เป็นไปตามลักษณะประจำพันธุ์ข้างต้นAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/09284329454802728091noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7399262009816850879.post-46328325855796261192013-05-27T08:55:00.002-07:002013-05-27T08:55:48.311-07:00ตำนานไก่ชนพระนเรศวร<br /> จากหนังสือพระมหากษัตริย์ไทย ของประกอบโชประการ 2519 หน้า 208
กล่าวไว้ดังนี้
วันหนึ่งได้มีการตีไก่ขึ้นระหว่างสมเด็จพระนเรศวรฯกับไก่ของมังชัยสิงห์ราช
นัดดา (ต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระมหาอุปราชา) ไก่ของ
สมเด็จพระนเรศวรตีชนะไก่ของมังชัยสิงห์ มังชัยสิงห์ขัดเคืองพระทัยจึงตรัส
ประชดประชันหยามหยันออกมาอย่างผู้ที่ถือดีว่ามีอำนาจเหนือกว่าว่า
“ไก่เชลยตัวนี้เก่งจริงหนอ” ถ้าไม่ใช่คนเหี้ยมหาญแกว่นกล้า
ไม่ใช่คนสู้คนทุกสถานการณ์ก็คงจะได้แต่รับฟังหรือเจรจาโต้ตอบไปอย่างเจียม
เนื้อเจียมตัว แต่สมเด็จพระนเรศวรฯไม่ใช่คนเช่นนั้น
ทรงเป็นวีรขัติชาติที่ทรงสู้คนทุกสถานการณ์
จึงตรัสตอบโต้เป็นเชิงท้าอยู่ในทีว่า
“ไก่เชลยตัวนี้อย่าว่าแต่จะตีกันอย่างกีฬาในวังเหมือนอย่างวันนี้เลย
ตีพนันเอาบ้านเอาเมืองกันก็ยังได้”<br />
<dd></dd><dd>จากหนังสือของประยูร ทิศนาคะ : สมเด็จพระนเรศวร ฉบับออกอากาศ,
พระนครหอสมุดกลาง 09,2513 ( 10 ) 459 หน้า 64 – 65
ได้บรรยายการชนกันอย่างละเอียดว่า
“ขณะที่ไก่ของสมเด็จพระนเรศวรกับไก่ของพระมหาอุปราชาแห่งกรุงหงสาวดีกำลังชน
กันอยู่อย่างทรหด ต่างตัวต่างจิกตีฟาดแข้งแทงเดือยอย่างไม่ลดละ
ฝ่ายทางเจ้าของไก่ คือ
พระนเรศวรและพระมหาอุปราชาแห่งกรุงหงสาวดีพร้อมทั้งข้าราชการ บริพาร
ทั้งหลายที่เสมอนอก ก็เขม็งมองด้วยความตั้งอกตั้งใจและผู้ที่ปากเปราะหน่อย
ก็ตีปีกร้องสนับสนุนไก่ข้างฝ่ายเจ้านายฝ่าย ของตนเป็นที่สนุกอย่างคาดไม่ถึง
ขณะที่ไก่ฟาดแข้งกันอย่างอุตลุดพัลวัน
สายตาผู้ดูทุกคู่ต่างก็เอาใจช่วยและแทบว่าจะไปตีแทนไก่ก็ว่าได้คล้ายกับว่า
ไก่ชนกันไม่ได้ดังใจตนเมื่อทั้งสองไก่พัวพันกันอยู่พักหนึ่ง
ไก่ของพระมหาอุปราชก็มีอันล้มกลิ้งไปต่อหน้าต่อตา
ไก่ชนของพระนเรศวรฯกระพือปีกอย่างทระนงและขันเสียงใสพระมหาอุปราชถึงสะอึก
สะกดพระทัยไว้ไม่ได้” นับว่าเมืองไทยเรามีไก่ชนที่เก่งมาก
จึงทำให้สมเด็จพระนเรศวรฯ เชื่อพระทัยอย่างแน่นอนว่าเมื่อชนต้องชนะไก่พม่า
จึงกล้าท้าทายเดิมพันบ้านเมืองกัน</dd><dd>พงศาวดารยังกล่าวถึงการตีไก่เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในพม่าโดย
เฉพาะราชสำนักถือกันว่า“การตี ไก่เป็นกีฬาในวัง”
บรรดาเชื้อพระวงศ์จึงนิยมเลี้ยงไก่ชนกันแทบทุกตำหนักจะเห็นได้ว่าการตีไก่
เป็นที่โปรดปรานของเชื้อพระวงศ์ในวังพม่าจึงเชื่อได้ว่าคนไทยสมัยนั้นก็นิยม
การตีไก่กันอย่างแพร่หลายเช่นกัน</dd><dd>สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงพระราชสมภพ ณ วังจันทน์
เมืองพิษณุโลกสองแคว
พระองค์ทรงโปรดปรานการตีไก่มาแต่ทรงเยาว์วัยทรงใฝ่หาความรู้และเสาะหาไก่
เก่งมาเลี้ยงไว้ด้วยเช่นกัน พ. ต.พิทักษ์ บัวเปรม (ข้าราชการบำนาญ)
ท่านได้บันทึกไว้ว่าเมื่อปี 2500 ท่านได้อ่านตำราไก่ชนจากสมุดข่อย
เชื่อแน่ว่าไก่ที่พระนเรศวรฯทรงนำไปชนกับพม่านั้นนำไปจากบ้าน “ บ้านกร่าง”
เดิมเรียกบ้าน “บ้านหัวแท” ซึ่งอยู่ห่างจากตัว
เมืองพิษณุโลกไปทางทิศตะวันตก ประมาณ 9
กิโลเมตรความเห็นท่านว่าตรงกับการศึกษาของ พล.ต.ต.ผดุง สิงหเสนีย์ ด้วย
“บ้านกร่าง” อำเภอเมืองพิษณุโลก แดนไก่ชนนเรศวร
เป็นหมู่บ้านเก่าแก่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษไทยโบราณ
ปัจจุบันพบซากปรักหักพังของวัดวาอารามเป็นจำนวนมาก
เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความเจริญรุ่งเรืองในอดีต
และมีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์มายาวนาน
ผู้คนในหมู่บ้านยังสืบทอดขนบธรรมเนียม
มาตั้งแต่บรรพบุรุษคือมีงานเทศกาลต่างๆก็จะนัดชนไก่กัน ณ บ่อนประจำหมู่บ้าน
“ลุงชิต เพชรอ่อน” อายุประมาณ 90 ปี ( พ.ศ.2535 ) อยู่บ้านกร่าง
คนในหมู่บ้านบอกว่าเป็นนักเลงไก่ชน
มาตั้งแต่เด็กสืบสายเลือดการชนไก่มาจากพ่อและปู่
ท่านเล่าว่าสมัยพ่อพูดถึงสมัยปู่เลี้ยงไก่ชน (ประมาณ 200 ปีมาแล้ว)
บ้านกร่างเลี้ยงไก่มากเป็นไก่เก่งชนชนะชื่อเสียงโด่งดัง
เป็นที่ต้องการของคนต่างถิ่น ไก่ที่เลี้ยงเป็น “ไก่อูตัวใหญ่ สีเหลือง
หางขาว” และปู่ได้พูดเสมอว่า “ไก่เหลืองหางขาวไก่เจ้าเลี้ยง”
คำพูดนี่จึงติดปากคนบ้านกร่างมาจนทุกวันนี้</dd><dd>จากการศึกษาภาพเขียนฝาผนังที่วิหารวัดสุวรรณดาราม
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พบว่าเป็นภาพเขียนเก่าแก่
มีอยู่ภาพหนึ่งเป็นภาพพระนเรศวรฯชนไก่ ใต้ภาพบรรยายไว้ว่า “พระนเรศวรฯ
เมื่ออยู่หงสาวดี เล่นพนันไก่กับมังสามเกียด มังสามเกียดก็ว่าไก่เชลยเก่ง
พระนเรศวรฯ ตรัสตอบว่าไก่เชลยตัวนี้จะพนันเอาเมืองกัน
ต่างองค์ต่างไม่พอใจในคำตรัส พ.ศ. 2121 พระชันษา 23 ปี”
ซึ่งภาพไก่ที่เขียนเป็นไก่เหลือง หางขาว แข้งขาว ปากขาวอมเหลือง ตาเหลือง
ดังนั้น ไก่ชนที่พระนเรศวรฯ นำไปจากบ้านกร่าง จึงน่าจะเป็น
“ไก่เหลืองหางขาว” สมดังไก่เจ้าเลี้ยง ในหนังสือสารานุกรมพัฒนาภาคใต้ พ.ศ.
2529 เล่ม 3 เรียก “ไก่เหลืองหางขาว” ว่า “ไก่เหลืองใหญ่” ลักษณะขนแดงอ่อน
คล้ายสีทอง ขนปีกขาว ปากขาว หางขาว ปากเป็นร่อง เกล็ดเป็นผิวหวายตะกร้า
(ขาวแกมเหลือง) จัดเป็นยอดไก่</dd><dd>ไก่ชนพระนเรศวร หรือไก่เจ้าเลี้ยง เป็นไก่อู
พันธุ์เหลืองหางขาวเป็นที่รู้จักเรียกขานกันว่า ”ไก่เหลืองหางขาว”
จัดเป็นยอดไก่ มีลักษณะสีสร้อยเหลือง แข้งขาวอมเหลือง
ปากขาวอมเหลืองหางสีขาวยาวเหมือนฟ่อนข้าว ยืนผงาดอกเชิดท้ายลาด
หน้าแหลมยาวเหมือนหน้านกยูง ปีกใหญ่ยาวมีขนแซมทั้งสองข้าง อกใหญ่ ตัวยาว
หางรัดชิด แข้งเล็กนิ้วยาวเรียว เดือยงอน เวลาขันเสียงใหญ่และยาว<br />
<table align="center">
<tbody>
<tr><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/roopwad.jpg" /></td></tr>
<tr><td align="center">ไก่ชนของพระนเรศวรกำลังตีกับไก่ชนของมังสามเกียด</td></tr>
<tr><td align="center"><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/info/kaichoaleang.jpg" /></td></tr>
<tr><td align="center">ไก่ชนเหลืองหางขาว</td></tr>
</tbody></table>
<img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotsubject.gif" /><b> ลักษณะทั่วไปของไก่ชนพระนเรศวร</b></dd><dd>เป็นพันธุ์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดคือ พันธุ์เหลืองหางขาว ตามตำรากล่าวว่า ไก่เหลืองหางขาว<br />
ไก่
เจ้าเลี้ยง ในทุกพื้นที่ที่มีการเล่นไก่ชน
ไก่เหลืองหางขาวมักจะเป็นตัวเอกทุกๆ สังเวียนอยู่เสมอ
หรือแทบจะเรียกได้ว่าไก่พันธุ์นี้อยู่ในความครอบครองของนักเลงไก่อยู่เสมอ
ไก่เหลืองหางขาวจัดว่าเป็นไก่ที่มีสกุลและมีลักษณะเด่นมาก
จากประวัติฝีมือความสามารถ ทำให้มีการพูดเสมอในวงพนันว่า
ไก่เหลืองหางขาวกินเหล้าเชื่อ หมายความว่าเมื่อนำไก่สีนี้ไปตี
สามารถที่จะเชื่อมั่นได้ว่า
จะต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอนสามารถสั่งเหล้าเงินเชื่อมากินก่อนได้เลย<br />
<img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotsubject.gif" /><b> ไก่เหลืองหางขาวที่มีลักษณะตรงตามตำรา</b></dd><dd><span style="color: #990000;">หน้าหงอนบาง กลางหงอนสูง สร้อยระย้า หน้านกยูง อกชัน หวั้นชิด หงอนบิด ปากร่อง พัดเจ็ด ปีกสิบเอ็ด เกล็ดยี่สิบสอง</span> ถือเป็นไก่ชั้นเยี่ยม
</dd><dd><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotlist.gif" /> อกชัน คือ ยืนยืดอกหรือเชิดอก อันจะทำให้ด้านท้ายของตัวลาดลงต่ำ แสดงถึงความเป็นไก่อันธพาล
</dd><dd><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotlist.gif" /> หวั้นชิด คือ ข่วงหางอยู่ชิดหรือติดกับบั้นท้ายตรงบริเวณเชิงกราน ทำให้ช่องว่างระหว่างบั้นท้ายกับเชิงกรานแคบแสดงถึงความอึดอดทน
</dd><dd><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotlist.gif" /> หงอนบิด
คือ
หงอนไม่ตรงบิดเอียงไปด้านข้างเล็กน้อยแต่ไม่ไช่พับเอียงมากเกินไปเพราะจะ
เป็นลักษณะที่ไม่ดี
แต่จะเชื่อกันว่าหงอนที่เอียงบิดไปทางขวาเป็นไก่ที่มีฝีมือตามตำราแต่หาก
เอียงทางซ้ายจะไม่นิยม
</dd><dd><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotlist.gif" /> ปากร่อง คือ ที่บริเวณจงอยปาก จะมีร่องเป็นร่องลึกเข้าไปทั้งสองข้างออกจากรูจมูก อันแสดงถึงความเข้มแข็งไม่หลุดหักง่าย
</dd><dd><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotlist.gif" /> พัดเจ็ด คือ ที่บริเวณจะพบขนที่เรียกว่าขนพัดข้างละ 7 เส้น
</dd><dd><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotlist.gif" /> ปีกสิบเอ็ด คือ ขนปีกท่อนนอกมีข้างละ 11 เส้น ช่วยในการบินได้ดี
</dd><dd><img src="http://202.29.80.68/kaichon/img/dotlist.gif" /> เกล็ดยี่สิบสอง คือ เกล็ดที่นิ้วกลางนับรวมกันได้ 22 เกล็ด จัดเป็นไก่มีสกุลตีเจ็บตีหนัก รุนแรง
</dd>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09284329454802728091noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7399262009816850879.post-503981329993606612012-11-24T00:53:00.003-08:002012-11-24T00:53:45.604-08:00ฟาร์มไก่มาตรฐาน<h2 class="title">
ฟาร์มไก่มาตรฐาน<br /><img height="384" id="il_fi" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg8JqxoMlTfVrKTZbqS1lXDIA8kDCww6gpw3dZF4eGp0vgm73DxCX_qJ6-Wmwq4Jpb2EXYcX3mWXcRuBtrfMYRrF103RQc1Tkj2E7swybA_t6clVnmx8ECmkD0CNMaCgS4K6tl1Ik5N7yWM/" style="padding-bottom: 8px; padding-right: 8px; padding-top: 8px;" width="512" /></h2>
<div class="story">
สำหรับท่านใดที่มี ฟาร์ม หรือ ซุ้มไก่ชน ต้องการที่จะแก้ไข หรือ เพิ่มข้อมูลใน หน้าฟาร์มไก่ชน ให้แจ้งข้อมูลมาได้ที่นี่
<br />
<table class="farm" summary="ฟาร์มไก่ชน">
<thead>
<tr>
<th> No.</th>
<th> ฟาร์ม / ซุ้ม</th>
<th> เจ้าของ / ผจก. / ผอ.</th>
<th>ที่อยู่</th>
<th>โทรศัพท์</th>
</tr>
</thead>
<tbody>
<tr>
<td>1</td>
<td>ฟาร์มไก่ชนกำนันวิเชียร</td>
<td>กำนันวิเชียร ตันศิริ</td>
<td>หมู่ 9 หนองจอก</td>
<td>(02)5431425 </td>
</tr>
<tr>
<td>2</td>
<td>เจ้าพระยาฟาร์ม</td>
<td>ณฐพล (สม) ร่วมทรัพย์</td>
<td>ถนนปทุม - สามโคก ปทุมธานี</td>
<td>01-8741107</td>
</tr>
<tr>
<td>3</td>
<td>ศูนย์อนุรักษ์ไก่ฯพิษณุโลก</td>
<td>ภิเษก บูรณเขตต์</td>
<td>อ.เมืองพิษณุโลก</td>
<td>01-8863272</td>
</tr>
<tr>
<td>4</td>
<td>ตลาดนัดไก่พื้นเมือง</td>
<td>มาโนช บุญประสิทธิ์</td>
<td>โพธิ์ทอง อ่างทอง</td>
<td>01-9355910</td>
</tr>
<tr>
<td>5</td>
<td>ซุ้มไก่ราชวิถี</td>
<td>อ.วีระเดช พะเยาศิริพงษ์</td>
<td>ซอยราชวิถี 24</td>
<td>(02)6682665</td>
</tr>
<tr>
<td>6 </td>
<td>ชัยปราการ</td>
<td>เอก ปากน้ำ</td>
<td>สุขุมวิท กม30ปากน้ำ</td>
<td>02-3955716</td>
</tr>
<tr>
<td>7 </td>
<td>โชคบัญชา </td>
<td>บัญชา ปัญญาวานิชกุล</td>
<td>ดอนยายหอม นครปฐม</td>
<td>034-229147</td>
</tr>
<tr>
<td>8 </td>
<td>พญาเจ้าฟ้า </td>
<td>สมาน ทองคำ </td>
<td>ดอนเมือง กทม</td>
<td>01-4100811</td>
</tr>
<tr>
<td>9 </td>
<td>เพชรพญาฟาร์ม</td>
<td>สมนิตย์ งามวุฒิวร</td>
<td>กรุงเทพฯ - สุพรรณบุรี</td>
<td>01- 6137944</td>
</tr>
<tr>
<td>10 </td>
<td>ชมรมบ้านดาวเทียม</td>
<td>สมชัย ยะหัตตะ</td>
<td>ศรีราชา ชลบุรี</td>
<td>038-352070</td>
</tr>
<tr>
<td>11 </td>
<td>ขุนพลไก่ไทย</td>
<td>สมชาย (จิว)โชครุ่งเริญยิ่ง</td>
<td>บางบัวทอง นนทบุรี</td>
<td>(02)5717208</td>
</tr>
<tr>
<td>12 </td>
<td>สมบัติฟาร์ม </td>
<td>สมบัติ สุขปาน</td>
<td>สิงห์บุรี</td>
<td>01-8533844</td>
</tr>
<tr>
<td>13 </td>
<td>ประทุมฟาร์ม</td>
<td>ประทุม คงคำ</td>
<td>อ.เมือง จ.พิษณุโลก</td>
<td>055-311385</td>
</tr>
<tr>
<td>14 </td>
<td>นครอุดรธานี</td>
<td>วิชัย มะลิจักร์</td>
<td>หนองไผ่ เมืองอุดร</td>
<td>042-207898 </td>
</tr>
<tr>
<td>16 </td>
<td>ทรัพย์ประเสริฐ</td>
<td>รุ่งโรจน์ กลั่นเกษร </td>
<td>บางบัวทอง นนทบุรี</td>
<td> </td>
</tr>
<tr>
<td>17 </td>
<td>ขิง อยุธยา</td>
<td>องอาจ (ขิง) วิสุทธิธรรม</td>
<td>ข้างวัดพนมยงค์ อยุธยา</td>
<td>01- 2747118</td>
</tr>
<tr>
<td>18 </td>
<td>ฟาร์มวังโค้ง</td>
<td>ปัญญา บุญสมบุญ</td>
<td>50 ม1 วังโค้ง เพชรบูรณ์</td>
<td>01-9625733</td>
</tr>
<tr>
<td>19 </td>
<td>เอกศักดิ์ฟาร์ม</td>
<td>เอกศักดิ์ ศิวบุณย์</td>
<td>อ.เมือง จ.นครปฐม</td>
<td>01-9253036 </td>
</tr>
<tr>
<td>20 </td>
<td>ชมรมฯ เขื่อนยันฮี</td>
<td>จักรกฤช ช้างรบ </td>
<td>เขื่อนภูมิพล ตาก</td>
<td>055-549420 </td>
</tr>
<tr>
<td>21 </td>
<td>ชมรมอนุรักษ์ท่าม่วง</td>
<td>ถกล อริยะพงศ์</td>
<td>ท่าม่วง กาญจนบุรี </td>
<td>(034)561700</td>
</tr>
<tr>
<td>22 </td>
<td>ฟาร์มศรีกรุง</td>
<td>ศรีกรุง</td>
<td>(02)5343421 </td>
<td>(02)5653306</td>
</tr>
<tr>
<td>23 </td>
<td>ฟาร์มไก่ไทย</td>
<td>สายัณห์ ประทุม</td>
<td>ชัยบาดาล ลพบุรี </td>
<td>01-9566385</td>
</tr>
<tr>
<td>24 </td>
<td>ศยามไทย</td>
<td>ศยาม นาครทรรพ </td>
<td>(02)5432328</td>
<td>(02)3781931</td>
</tr>
<tr>
<td>25 </td>
<td>ศิริมงคล</td>
<td>เล็ก เรืองรัตนตรัย</td>
<td>ท่าพริก เมืองตราด </td>
<td>039-540163</td>
</tr>
<tr>
<td>26 </td>
<td>หนองแซง</td>
<td>อนันต์ รัตนจิตร </td>
<td>หนองแซง สระบุรี </td>
<td>036-366294</td>
</tr>
<tr>
<td>27 </td>
<td>อาร์.เอส.ฟาร์ม</td>
<td>เริงศักดิ์ กลับประสิทธิ์</td>
<td>อ.เมือง จ.เชียงราย</td>
<td>01-8465305</td>
</tr>
<tr>
<td>28 </td>
<td>แสงเพชร</td>
<td>โอภาส สินศุภฤกษ์ </td>
<td>ต.ศรีสำราญ อ.น้ำโสม จ.อุดรธานี </td>
<td>01-9759226</td>
</tr>
<tr>
<td>29 </td>
<td>นารายณ์ไก่ชน</td>
<td>ชาตรี สุรนานันท์</td>
<td>บ้านโป่ง ราชบุรี</td>
<td>01-4863410</td>
</tr>
<tr>
<td>30 </td>
<td>ซุ้มไก่ชนลูกทองแดง</td>
<td>อัศวิน ไทยรัตน์</td>
<td>อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ </td>
<td>053-388690</td>
</tr>
<tr>
<td>31 </td>
<td>ประดู่ลาย</td>
<td>หนูจันทร์ มีสา</td>
<td>ต.หนองแวง อ.น้ำโสม จ.อุดรธานี </td>
<td>01-2601056</td>
</tr>
<tr>
<td>32 </td>
<td>ตลาดไก่ชนแปดริ้ว</td>
<td>ประยุทธ์ เอื้ออารีย์</td>
<td>ข้าง ร.พ.โสธรวราเวช</td>
<td>038-514080</td>
</tr>
<tr>
<td>33 </td>
<td>ซุ้มไก่ชนเพชรกลาโหม</td>
<td>ร.อ. วสันต์ จันทร์เชื้อ และทีมงาน</td>
<td>41/1 หมู่ 5 ตง บ้านกร่าง อ.เมือง จ.พิษณุโลก</td>
<td>089-7056312</td>
</tr>
<tr>
<td>34 </td>
<td>ซุ้มจันแดง</td>
<td>นายจักรกฤษณ์ บุรีรัตน์</td>
<td>224 ม.9 ต.บางบ่อ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ</td>
<td>081-1426126</td>
</tr>
<tr>
<td>35 </td>
<td>ซุ้ม m100</td>
<td>คุณลี - คุณนาฟ</td>
<td>หลังหมู่บ้านนักกีฬา วงเเหวนรอบนอก</td>
<td>081-4226595</td>
</tr>
<tr>
<td>36 </td>
<td>ซุ้ม แสนหมาน</td>
<td>นายสมนึก ชายเจริญ (จอมมารบู)</td>
<td>7 หมู่ 2 ต.ขามเฒ่า อ.เมือง จ. นครพนม 48000 และ 68 ม. 5 ต.โพนทอง อ. บ้านแพง จ.นครพนม 48140</td>
<td>08-9842-4416, 08-9842-2081</td>
</tr>
<tr>
<td>37 </td>
<td>สระบัวเจริญฟาร์ม</td>
<td>คุณศุภฤกษ์ สุวรรณนที (ผู้บริหาร)</td>
<td>1022 ถ.เพชรเกษม ต.ห้วยจรเข้ อ.เมือง จ.นครปฐม</td>
<td>081-9420841</td>
</tr>
<tr>
<td>38</td>
<td>ซุ้มตระกูลลี</td>
<td>พิทักษ์ ลีวงศักดิ์ (สังกัดซุ้มตระกูลลีโคราช)</td>
<td>61/1 ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย จ.ระยอง 21000</td>
<td>085-5542669</td>
</tr>
<tr>
<td>39</td>
<td>อยุธยาป่าก๋อย ไก่ป่าก๋อย สายเพชรยืนยง</td>
<td>เจ อยุธยาป่าก๋อย</td>
<td>634 / 44 หมู่ 5 ซ.พยอม7 ต.พยอม อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา 13180</td>
<td>087-0991346</td>
</tr>
<tr>
<td>40</td>
<td>ดอกไม้ไทย</td>
<td>ธนาคม ธนกาญจน์</td>
<td>20/8 ม. 19 ต. ดอนฉิมพลี อ. บางน้ำเปรี้ยว จ. ฉะเชิงเทรา 24170</td>
<td>081-8247648</td>
</tr>
<tr>
<td>41</td>
<td>พยัคฆ์ใต้</td>
<td>Mr.ALAMDAR</td>
<td>8/2 ม.4 ต.ซากอ อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส 96210</td>
<td>080-7015679</td>
</tr>
<tr>
<td>42</td>
<td>สายน้ำปาว</td>
<td>นายสัญชัย ชัยศิริ</td>
<td>82 ถ.ประดิษฐ์ ซ.3 อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ 46000</td>
<td>081-8714200</td>
</tr>
<tr>
<td>43</td>
<td>สำนักไก่ชนพยัคฆ์มังกร</td>
<td>คุณเฉลิมพร จำวัน</td>
<td>6 หมู่ 9 บ้านนามั่ง ต.เขื่องใน อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี</td>
<td> </td>
</tr>
<tr>
<td>44</td>
<td>ฟาร์มไก่ชน เพชรบางจาก (แพร่บางจาก)</td>
<td>พ่อเลี้ยงนอง สุนทรเมือง / นายเจษฏาพร สุนทรเมือง</td>
<td>122/2 ม.5 ต.ป่าแมต อ.เมือง จ.แพร่ี</td>
<td> </td>
</tr>
<tr>
<td>45</td>
<td>ซุ้มเบบี้มายด์</td>
<td>นู๋แหม่ ร้านเบบี้มายด์บิวตี้</td>
<td>ถ. เอกชัย ซ. เอกชัย 70 ตรงข้ามครัวแสวงซีฟู๊ด 2</td>
<td>นู๋แหม่ โทร 088-503-2257 นเรศ โทร 085-135-4746</td>
</tr>
<tr>
<td>46</td>
<td>ซุ้มโชคชัยอนันต์</td>
<td>นายชัยอนันต์ ราชชมภู</td>
<td>สวนป่าสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์</td>
<td>ชัยอนันต์ โทร 085-4994563</td>
</tr>
<tr>
<td>47</td>
<td>ซุ้ม อั๋นพม่าเขลางค์ วังน้ำลี้ </td>
<td>อั๋น</td>
<td>167/1 ม.7 ต.ท่าผา อ.เกาะคา จ.ลำปาง 52130</td>
<td>อั๋น โทร 085-7233873</td>
</tr>
<tr>
<td>48</td>
<td>ซุ้มวังน้ำลี้โคราช</td>
<td> </td>
<td>6/1 หมู่3 บ้านดอนทะแยง ต.บ้านปรางค์ อ.คง จ.นครราชสีมา</td>
<td>โทร 080-7258064</td>
</tr>
<tr>
<td>49</td>
<td>ซุ้มบ้านโนนสง่าพัฒนา</td>
<td>คุณใหญ่</td>
<td>บ้านโนนสง่าพัฒนา อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์</td>
<td>โทร 087-8321641</td>
</tr>
<tr>
<td>50</td>
<td>ซุ้ม ส.สยาม</td>
<td> </td>
<td>52/2 (ข้ามสะพานตรงข้ามวัดราชโกษา) ซอยแก้วเจริญ แยก 1-2 ถนนขุมทอง-ลำต้อยติ่ง แขวงลาดกระบัง เขตลาดกระบัง กทม.</td>
<td>โทร 02-212-7161, 081-3000-735</td>
</tr>
<tr>
<td>51</td>
<td>ซุ้มเพชรการะเวก</td>
<td>คุณสมทรง การะเวก (เอ้ )</td>
<td>92 หมู่ 5 ต.ทัพหลวง อ.เมือง จ.นครปฐม</td>
<td>โทร 081-0076349,085-1451238 e-mail / msn: benzaudio@hotmail.com</td>
</tr>
<tr>
<td>52</td>
<td>ซุ้มเพชรน้ำลี้</td>
<td>นาย วิชัย อุชุปัจ <พ่อหนานชัย></td>
<td>30 หมู่ 9 ตำบลเหล่ายาว อ.บ้านโฮ๋ง จังหวัดลำพูน 51130</td>
<td>โทร 0817730875</td>
</tr>
<tr>
<td>53</td>
<td>ซุ้ม ส.เอกา พิษณุโลก</td>
<td>นาย ชนินทร์ รัตนะทิพย์</td>
<td>123/62427 หมู่ 2 ตำบล อรัญญิก อำเภอเมื่อง จังหวัดพิษณุโลก 65000</td>
<td>โทร 0881742689 เกมส์ ส.เอกา พิษณุโลก</td>
</tr>
<tr>
<td>54</td>
<td>ซุ้มดาบหมานลำพูน</td>
<td>ดต.สมาน อินธรรมขันธ์</td>
<td>169 หมู่ 2 บ้านห้วยปันจ๊อย ต.หนองยวง อ.เวียงหนองล่อง จ.ลำพูน 51120</td>
<td>โทร 089-6347149 ดต.สมาน อินธรรมขันธ์</td>
</tr>
</tbody>
</table>
</div>
<ins style="border: none; display: inline-table; height: 90px; margin: 0; padding: 0; position: relative; visibility: visible; width: 728px;"><ins id="aswift_1_anchor" style="border: none; display: block; height: 90px; margin: 0; padding: 0; position: relative; visibility: visible; width: 728px;"><br /></ins></ins>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09284329454802728091noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7399262009816850879.post-28597662869483467442012-11-24T00:52:00.001-08:002012-11-24T00:52:13.975-08:00สมุดประจำตัวไก่ชน<h2 class="title">
สมุดประจำตัวไก่ชน</h2>
<div class="story">
การจัดทำสมุดประจำตัว ไก่ชนของกรมปศุสัตว์นี้ก็เพื่อเป็นการป้องกันโรค
และเพื่อให้เกษตรกรได้มีความรู้ความ เข้าใจในการบันทึกประวัติไก่ ของตน
เนื่องจากไก่ชนเป็นไก่ที่เลี้ยงไว้เพื่อการกีฬา จะมีการเคลื่อนย้าย
หรือนำไปแข่งขันในต่างพื้นที่เป็นประจำ
ความจำเป็นในการควบคุมโรคจึงจำเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะกรณีการเกิดโรคระบาดของสัตว์ปีก
อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้ทิ้งเรื่องการฝังไมโครชิพ
แต่จะต้องพัฒนาการฝังชิพไม่ให้ไก่ชนเกิดความรำคาญ
ซึ่งจะทำให้ความสามารถในการชนของไก่เปลี่ยนไปได้ <br />
กรมปศุสัตว์ได้กำหนดมาตาการเฝ้าระวังและ ควบคุมเคลื่อนย้าย เพื่อป้องกันการระบาดของโรค ดังนี้ <br />
<ol>
<li>ผู้เลี้ยงไก่ชนทั้งที่เป็นลักษณะฟาร์มและไม่เป็นลักษณะฟาร์มต้องขึ้น
ทะเบียน กับกรมปศุสัตว์ ที่สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดพื้นที่ทุกจังหวัด</li>
<li>สัตวแพทย์สำนักงานปศุสุตว์จังหวัด
จะดำเนินการสุ่มเก็บตัวอย่างจากทุกฟาร์มหรือ
ทุกบ้านที่มีการเลี้ยงไก่ชนเป็นประจำทุก ๒ เดือน
เพื่อตรวจเฝ้าระวังการเกิดโรคระบาดสัตว์ปีก
ซึ่งการดำเนินการเฝ้าระวังเช่นนี้จะดำเนินการกับการเลี้ยงสัตว์ปีกทุกประเภท
ไม่เฉพาะการเลี้ยงไก่ชน</li>
<li>ไก่ที่มีไว้เพื่อชน ต้องทำสมุดประจำตัวไก่ชน
และต้องแสดงสมุดประจำตัวไก่ชน ต่อเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ กรมปศุสัตว์
ในระหว่างทางการเคลื่อนย้าย หรือเมื่อเคลื่อนย้ายถึงปลายทาง
เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้ตรวจสอบแหล่งที่มาของไก่ชนว่ามีโรคระบาดหรือไม่
และเป็นการอำนวยความสะดวกต่อผู้เลี้ยงไก่ชนในการลดขั้นตอนการขออนุญาต
เคลื่อนย้าย นอกจากนี้การจัดทำสมุดประจำตัวไก่ชน
ยังเป็นการเพิ่มมาตรฐานการเลี้ยงไก่ชนในประเทศไทยด้วย
ซึ่งจะส่งผลต่อการเพิ่มมูลค่าไก่ชนทั้งภายในประเทศ
และส่งออกต่างประเทศได้มาก </li>
</ol>
<div>
สมุดประจำตัวไก่ชน ด้านหน้า</div>
<img alt="สมุดประจำตัวไก่ชน ด้านหน้า" src="http://www.gaichon.com/img/fighting_cock_passport1.jpg" />
<div>
สมุดประจำตัวไก่ชน ด้านหลัง</div>
<img alt="สมุดประจำตัวไก่ชน ด้านหลัง" src="http://www.gaichon.com/img/fighting_cock_passport2.jpg" />
</div>
<h2 class="title">
ขั้นตอนการจัดทำสมุดประจำตัวไก่ชน</h2>
<div class="story">
<ol>
<li> ปศุสัตว์จังหวัด ประชาสัมพันธ์ให้ผู้เลี้ยงไก่ชนทราบถึงรายละเอียด การจัดทำ สมุดประจำตัวไก่ชน รวมทั้งประโยชน์ที่ได้รับ</li>
<li>ไก่ชนที่จะทำสมุดประจำตัว ต้องมีอายุตั้งแต่ ๘ เดือนขึ้นไป</li>
<li>เจ้าของไก่ชน ยื่นแบบคำขอ ทำสมุดประจำตัวไก่ชน (แบบ กช.๑) ที่สำนักปศุสัตว์จังหวัด หรือ สำนักปศุสัตว์อำเภอ</li>
<li>เจ้าหน้าที่สำนักปศุสัตว์จังหวัด หรือ
สำนักปศุสัตว์อำเภอ จะนัดหมายเข้าของไก่ชน เพื่อตรวจสุขภาพไก่ชน
เก็บตัวอย่างเพื่อนำไปทดสอบโรค และ ตรวจประวัติการได้รับวัคซีน
พร้อมถ่ายรูปไก่ชน จำนวน ๓ รูป คือ
<ul>
<li>รูปทั้งตัว ๑ รูป</li>
<li>รูปถ่ายส่วนหัวด้านซ้าย หรือ ด้านขวา ๑ รูป</li>
<li>รูปถ่ายแข้ง ๒ ข้าง ๑ รูป โดยถ่ายภาพ ด้านหน้าของแข้งให้เห็นเกร็ดชัดเจน</li>
</ul>
</li>
<li>รูปถ่ายไก่ชน เมื่อติดในสมุดประจำตัวไก่ชน แล้ว
ให้ประทับตราสำนักปศุสัตว์จังหวัด ที่ขอบของรูปถ่ายทั้ง ๓ รูป
เพื่อป้องกันการเปลี่ยนรูปถ่าย</li>
<li>การกรอกข้อมูลประวัติไก่ชน
<ul>
<li><strong>พันธุ์</strong> หมายถึง พันธุ์ของไก่ชน ได้แก่ ไทย หรือ พม่า หรือ เวียดนาม หรือ ลูกผสมไทย-พม่า เป็นต้น</li>
<li><strong>สี</strong> หมายถึง สีที่ปรากฏจริง
เช่น ขนคอแดง ขนหลังแดง และ หางดำ หรือ ระบุ ตามภาษาไก่ชน เช่น
ประดู่หางดำ หรือ เหลืองหางขาว หรือ นกกรด เป็นต้น</li>
<li><strong>ตำหนิ</strong> หมายถึง ลักษณะที่ไม่สามารถ ลบเลือนได้ เช่น ตาลาย หรือ เดือยดำ หรือ นิ้วก้อยซ้ายหัก เป็นต้น</li>
<li><strong>ส่วนสูง</strong> หมายถึง วัดจากพื้นที่ไก่ยืนถึงหัวปีก โดยให้ไก่ยืนท่าปรกติ</li>
</ul>
</li>
<li>เจ้าหน้าที่สำนักปศุสัตว์จังหวัด เก็บตัวอย่างโดยวิธี Cloacal Swab เพื่อนำไปตรวจ ทดสอบโรค </li>
<li>เมื่อได้รับผลการทดสอบโรคเป็นลบ จึงมอบสมุดประจำตัวไก่ชน ให้กับเจ้าของ โดยระบุเลขประจำตัวไก่ชน ๘ หลัก (ID Number) ดังนี้</li>
<ul>
<li>หลักที่ ๑ และ ๒ เป็น อักษรย่อของจังหวัด</li>
<li>หลักที่ ๓ และ ๔ เป็น ปี พ.ศ.</li>
<li>หลักที่ ๕ ถึง ๘ เป็น ลำดับการออก สมุดประจำตัว</li>
</ul>
เช่น กท ๔๗ ๐๐๐๑, ปท ๔๗ ๐๐๑๙
</ol>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09284329454802728091noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7399262009816850879.post-1812056012443992752012-11-24T00:51:00.000-08:002012-11-24T00:51:01.066-08:00โรคไข้หวัดนก (Avian Influenza)<h2 class="title">
โรคไข้หวัดนก (Avian Influenza)<br /><img alt="" class="rg_hi uh_hi" data-height="196" data-width="257" height="196" id="rg_hi" src="https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRZZ945NVZAY4tTQffWvZk8Dr9hHPwjvnxDdLHNuFrx4rpahh3B" style="height: 196px; width: 257px;" width="257" /></h2>
<div class="story">
โรคไข้หวัดนก (Avian Influenza) เป็น โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส
Avian Influenza virus type A ในตระกูล Orthomyxoviridae ซึ่งเป็น
RNA ไวรัสชนิดมีเปลือกหุ้ม โดยมี surface antigens ที่สำคัญ ได้แก่
haemagglutinin (H) มี ๑๕ ชนิด และ neuraminidase (N) มี ๙ ชนิด
เชื้อไวรัส Influenza แบ่งเป็น ๓ type ได้แก่<br />
<strong>Type A</strong> แบ่งย่อยเป็น ๑๕ subtype ตามความแตกต่างของ H และ N antigen
พบได้ในคนและสัตว์ต่างๆ เช่น สุกร ม้า และสัตว์ปีกทุกชนิด <br />
<strong>Type B</strong> ไม่มี subtype พบเฉพาะในคน<br />
<strong>Type C</strong> ไม่มี subtype พบเฉพาะในคนและสุกร <br />
</div>
<h2 class="title">
อาการ</h2>
<div class="story">
โรคไข้หวัดนก อาการที่แสดงนั้นมีความผันแปรตั้งแต่ระดับที่ไม่รุนแรง
ไปจนถึงขั้นเสียชีวิต ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อไวรัส และสัตว์ที่ได้รับเชื้อ
สัตว์อาจจะไม่แสดงอาการป่วย แต่จะมีระดับภูมิคุ้มกันสูงขึ้น (Seroconverion)
ภายใน 10-14 วัน จึงสามารถวินิจฉัยว่าเป็นโรค สัตว์อาจจะแสดงอาการดังนี้
<br />
กินอาหารลดลง ปริมาณไข่ลดในไก่ไข่ นอกจากนี้อาจจะมีอาการ ไอ จาม
ขนร่วง มีไข้ หน้าบวม ซึม ท้องเสีย ในรายที่มีอาการติดเชื้อรุนแรงอาจตายกระทันหัน
ซึ่งมีอัตราตายสูง ๑๐๐% <br />
ไวรัสชนิดนี้จะไม่ทำให้เป็ดป่วย แต่อาจทำให้สัตว์ปีกชนิดอื่นๆ ป่วยได้
เช่น ไก่งวง <br />
</div>
<h2 class="title">
แหล่งของไวรัส</h2>
<div class="story">
สัตว์ปีกทุกชนิดมีความไวต่อเชื้อไวรัสไข้หวัดนก สามารถที่จะแยกเชื้อได้จากนกน้ำ
รวมทั้ง นกชายทะเล นกนางนวล ห่าน และนกป่า เป็ดป่าสามารถที่จะนำเชื้อไวรัสชนิดนี้
โดยที่จะไม่แสดงอาการป่วย ซึ่งถือได้ว่าเป็นแหล่งรังโรคที่สำคัญในสัตว์ปีก
<br />
ความเสี่ยงของการระบาดโรคไข้หวัดนกจากนกน้ำ
โรคไข้หวัดนกมีการระบาดในนกป่าและเป็ด นกน้ำเป็นแหล่งของเชื้อไวรัสไข้หวัดนกที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ไก่งวงยังเป็นแหล่งกักโรคที่ก่อให้เกิดปัญหาโรคไข้หวัดนกได้
ความเสี่ยงของไก่ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันที่มีโอกาสสัมผัสกับนกน้ำเป็นความเสี่ยงสูง
แต่ยังไม่ทราบว่าปัจจัยใดที่ส่งผลให้การระบาดไม่แน่นอนในแต่ละพื้นที่นั้น
<br />
</div>
<h2 class="title">
วิธีติดต่อของโรค<br /><img alt="" class="rg_hi uh_hi" data-height="194" data-width="259" height="194" id="rg_hi" src="https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRO0v0WZ869rho0yJZcdtnv_I9i2IpnIDCS9qnxcHO94gDM95bkvg" style="height: 194px; width: 259px;" width="259" /></h2>
<div class="story">
<ol>
<li>การติดต่อของโรคจากการสัมผัสกับอุจจาระ
เป็นวิธีติดต่อที่สำคัญระหว่างนกด้วยกัน นกป่าจะ เป็นตัวนำเชื้อไวรัสไข้หวัดนกไปยังนกในโรงเรือนที่เปิดได้
โดยผ่านทางการปนเปื้อนของอุจจาระ </li>
<li>การติดเชื้อโดยทางการสัมผัสกับสิ่งปนเปื้อนเชื้อโรค (Mechanical
Transmission) มูลของนกเป็นแหล่งของเชื้อไวรัสที่สำคัญ การขับเชื้อไวรัสทางมูลเป็นเวลา
๗๑๔ วัน หลังการติดเชื้อ แต่ไม่พบเชื้อไวรัสในสิ่งปูรองได้ในระยะเวลานานถึง
๔ สัปดาห์หลังการติดเชื้อ ไวรัสสามารถจะอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานถึง
๑๐๕ วัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ซึ่งมีอุณหภูมิต่ำและความชื้นสูง
ดังนั้น วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ คน และสัตว์ เช่น นกป่า หนู แมลง นกกระจอก
จึงเป็นปัจจัยในการกระจายของโรคได้ </li>
<li>การติดเชื้อจากการหายใจเอาสิ่งคัดหลั่งของตัวป่วย ก็เป็นได้ </li>
<li>ไวรัสไข้หวัดนกสามารถพบในเปลือกไข่ชั้นในและชั้นนอก อย่างไรก็ตาม
การติดต่อจากแม่ไก่ผ่านมายังลูกไก่ทางไข่ (Vertical transmission)
ยังไม่มีการรายงาน ส่วนการติดโรคผ่านไข่ไปยังฟาร์มอื่นนั้นมักเกิดจากการปนเปื้อนเชื้อที่เปลือกไข่
หรือถาดไข่ และจัดเป็นการติดต่อที่สำคัญวิธีหนึ่ง </li>
</ol>
</div>
<h2 class="title">
การติดต่อโรค จากสัตว์ปีกมาสู่คน</h2>
<div class="story">
การติดต่อโรคนี้จากสัตว์ปีกมาสู่คน เป็นไปได้ยาก
จากข้อมูลการเกิดโรคในคนที่ประเทศฮ่องกง และประเทศอื่นๆ พบว่าเป็นการติดต่อโดยตรงจากตัวสัตว์ปีกมีชีวิต
ไม่มีรายงานการติดต่อมายังคน โดยการบริโภคเนื้อไก่ และ ไข่
มาตรการการป้องกันการแพร่กระจายของโรค โรคไข้หวัดนก ในฟาร์มที่มีโรคระบาด
ประกอบด้วย ๓ หลักการที่สำคัญ คือ <br />
<ol>
<li>การป้องกันการกระจายของเชื้อ
<ol>
<li>ไม่ให้มีการนำสัตว์ปีกเข้าไปในสถานที่ซึ่งมีการระบาดของโรคภายหลังจากการกำจัดสัตว์ป่วย
ในระยะเวลา ๒๑ วัน </li>
<li>กำจัดวัชพืชรอบโรงเรือน และกำจัดสิ่งปูรองตลอดจนอาหารของสัตว์ป่วยนั้น</li>
<li>มีโปรแกรมควบคุมพาหะของโรค เข่น แมลง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หนู
และนก เนื่องจากสิ่งต่างๆเหล่านี้จะเป็นตัวนำพาเชื้อโรคจากอุจจาระของสัตว์ป่วยไปยังที่ต่างๆได้
</li>
<li>ป้องกันการสะสมของแหล่งน้ำภายในฟาร์ม ซึ่งเพิ่มปริมาณของนกที่เคลื่อนย้ายเข้ามา
และมีโอกาสเป็นสื่อให้การแพร่กระจายของโรคขยายวงออกไป </li>
<li>จำกัดแหล่งอาหารซึ่งเป็นปัจจัยให้นกเคลื่อนย้ายมาอาศัย </li>
<li>ให้ความรู้พนักงานและผู้ที่เกี่ยวข้องให้ตระหนักถึงความสำคัญในการป้องกันการแพร่กระจายของโรคไปยังที่ต่างๆ
</li>
</ol>
</li>
<li>การควบคุมการเคลื่อนย้าย
<ol>
<li>จัดระบบควบคุมการเข้า-ออกฟาร์มของบุคคลภายนอกและบุคคลภายในฟาร์ม </li>
<li>ลดการเคลื่อนย้ายระหว่างภายในฟาร์มและภายนอกฟาร์ม โดยใช้ระบบสื่อสารทางโทรศัพท์และโทรสาร</li>
<li>ให้ใช้มาตรการทำลายเชื้อโรคคนที่เข้า-ออกฟาร์ม </li>
<li>ไม่อนุญาตให้พนักงานขับรถยนต์ พนักงานขนส่งเข้า-ออกฟาร์มโดยที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ </li>
</ol>
</li>
<li>การรักษาสุขอนามัย
<ol>
<li>ใช้ยาฆ่าเชื้อทำลายเชื้อโรค และควบคุมไม่ให้มีการปนเปื้อนอุจจาระไปกับรถหรือยานพาหนะ</li>
<li>ล้างวัสดุ อุปกรณ์และยานพาหนะด้วยผงซักฟอก และยาฆ่าเชื้อ </li>
</ol>
ยาฆ่าเชื้อที่ใช้ในการควบคุมและลดการแพร่กระจายเชื้อไวรัสคือ <br />
<ol>
<li>Formaldehyde </li>
<li>Iodine compound </li>
<li>Quaternary ammonium compound </li>
<li>สารที่เป็นกรด </li>
<li>ความร้อน ๙๐ °C เวลา ๓ ชั่วโมง หรือ ๑๐๐ °C เวลา ๓๐ นาที </li>
<li>ความแห้ง </li>
</ol>
</li>
</ol>
มาตรการสำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ หรือผู้ที่ต้องเกี่ยวข้องกับสัตว์ในฟาร์มที่มีการระบาด
โรงฆ่าสัตว์ปีก ผู้รับซื้อสัตว์ปีกซึ่งเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการติดโรคนั้นควรปฏิบัติดังนี้
<br />
<strong>มาตรการสำหรับฟาร์มไก่พื้นเมือง </strong><br />
<ol>
<li>ควบคุมการเข้า - ออก ของคน สัตว์ ไม่ให้ยานพาหนะและคน
โดยเฉพาะรถรับซื้อไก่ รถรับซื้อไข่ รถรับซื้อขี้ไก่ รวมถึงคนรับซื้อไก่
ไข่ หรือ ขี้ไก่เข้ามาในฟาร์ม หรือบริเวณบ้าน </li>
<li>งดซื้อไก่จากพื้นที่อื่นๆเข้ามาเลี้ยง </li>
<li>รักษาความสะอาดในโรงเรือน ทำโรงเรือนแบบปิด หรือใช้ตาข่ายคลุม
และกำจัดเศษอาหาร เพื่อ
ป้องกันไม่ให้สัตว์อื่น ๆ รวมทั้งนก หนูเข้ามาในโรงเรือน เพราะอาจนำเชื้อโรคเข้ามาในฟาร์ม
</li>
<li>ไม่ใช้น้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะเช่นแม่น้ำลำคลอง เลี้ยงไก่ หากจำเป็นให้ผสมยาฆ่าเชื้อ
เช่น คลอรีน </li>
<li>หากมีไก่ป่วยหรือตายไม่ว่าด้วยสาเหตุใด ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ในพื้นที่ทันที
ไม่นำไก่ที่ป่วยหรือตายออกมาจำหน่าย อย่าทิ้งซากสัตว์ลงในแหล่งน้ำ
หรือที่สาธารณะ ต้องกำจัดทิ้งโดยการเผา หรือฝังในหลุมลึกไม่น้อยกว่า
๕ เมตร ณ จุดเกิดโรค รวมทั้งมูลไก่ ไข่ และอาหารสัตว์ด้วย แล้วราดด้วยด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
</li>
<li>ก่อนเข้าไปในฟาร์ม สัมผัสสัตว์ป่วย ซากสัตว์ที่ตาย หรือทำลายสัตว์
ควรสวมผ้าพลาสติกกันเปื้อน
ผ้าปิดปาก จมูก ถุงมือ หมวก หลังเสร็จงานรีบอาบน้ำด้วยน้ำและสบู่ให้สะอาด
เปลี่ยนเสื้อผ้าทุกครั้ง เสื้อผ้าที่ใช้แล้ว พลาสติก หรือผ้ากันเปื้อน
ผ้าปิดปากจมูก ถุงมือต้องถอดทิ้ง หรือนำไปซักหรือล้างให้สะอาดก่อนนำมาใช้อีก </li>
<li>ทำลายเชื้อโรคในพื้นที่ที่เกิดโรคระบาดโดยการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคในบริเวณฟาร์ม
กรง เล้า พื้นคอก และรอบๆ เช้า เย็น ทุกวัน</li>
</ol>
<strong>มาตรการสำหรับฟาร์มไก่เนื้อและไก่ไข่ </strong><br />
<ol>
<li> ห้ามนำยานพาหนะต่างๆ โดยเฉพาะรถส่งอาหารไก่
รถรับซื้อไก่ รถรับซื้อไข่ หรือ รถรับซื้อขี้ไก่
เข้ามาในฟาร์ม หรือบริเวณบ้านโดยไม่จำเป็น หากต้องเข้าฟาร์มต้องใช้ยาฆ่าเชื้อโรคฉีดพ่นยานพาหนะทุกครั้งก่อนเข้า
และออกจากฟาร์ม </li>
<li> ป้องกันเชื้อโรคที่ปนเปื้อนคนที่เข้า-ออกฟาร์ม โดย
<ul>
<li>ห้ามไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าฟาร์มโดยไม่จำเป็น </li>
<li>บุคคลที่ต้องเข้า-ออกฟาร์ม ต้องจุ่มน้ำยาฆ่าเชื้อก่อนเข้าฟาร์ม
และให้เปลี่ยนรองเท้า
ของฟาร์มที่เตรียมไว้ </li>
<li>ไม่ควรเข้าไปในฟาร์มอื่นเพื่อป้องกันการนำเชื้อโรคจากฟาร์มอื่นเข้มาในฟาร์ม </li>
</ul>
</li>
<li>รักษาความสะอาดในโรงเรือน ทำโรงเรือนแบบปิด หรือใช้ตาข่ายคลุม
และกำจัดเศษอาหาร เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์อื่น ๆ รวมทั้งนก หนูเข้ามาในโรงเรือน เพราะอาจนำเชื้อโรคเข้ามาในฟาร์ม
</li>
<li>ป้องกันเชื้อโรคที่ปนเปื้อนไข่ และถาดไข่ในฟาร์มไข่ไก่โดยใช้น้ำยาฆ่าเชื้อที่ไข่และถาดไข่ทุกครั้งที่นำเข้าฟาร์ม </li>
<li>หากมีไก่ป่วยหรือตายไม่ว่าด้วยสาเหตุใด
ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ในพื้นที่ทันทีเพื่อรับซื้อไก่ที่เหลือใน
ฟาร์มและปฏิบัติตามคำแนะนำของปศุสัตว์อย่างเคร่งครัด
เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อมาสู่สัตว์อื่น
ไม่นำไก่ที่ป่วยหรือตายออกมาจำหน่าย
อย่าทิ้งซากสัตว์ที่ตายลงในแหล่งน้ำ หรือที่สาธารณะ
ต้องกำจัดทิ้งโดยการเผา
หรือฝังในหลุมลึกไม่น้อยกว่า ๕ เมตร ณ จุดเกิดโรค
รวมทั้งมูลไก่
ไข่ และอาหารสัตว์ แล้วราดด้วยด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ </li>
</ol>
<strong>ผู้รับซื้อสัตว์ปีก </strong><br />
<ol>
<li> ต้องฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่ตัวรถ ล้อรถ
และกรงใส่สัตว์ปีกให้ทั่วถึงทุกซอกทุกมุม หลังจากนำสัตว์ปีกส่งโรงฆ่าแล้ว
</li>
<li>เมื่อซื้อสัตว์ปีกที่ใดแล้ว ไม่ควรแวะซื้อที่อื่นอีก หากจำเป็นไม่ควรควรนำยานพาหนะเข้าไปในฟาร์ม
และต้องพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อที่เสื้อผ้า รองเท้าและตัวคนจับสัตว์ปีก
</li>
<li>อย่าซื้อสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตาย หรือสัตว์ปีกจากฟาร์มที่มีสัตว์ปีกตายมากผิดปกติ
</li>
</ol>
<strong>ผู้รับซื้อสัตว์ปีก </strong><br />
<ol>
<li> ต้องงดซื้อสัตว์ปีกป่วยเข้าฆ่า </li>
<li> ถ้ามีสัตว์ปีกตายให้ทำลายด้วยการฝัง เผา ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่บริเวณโรงฆ่า
ทุกซอกทุกมุมหลังเสร็จสิ้นการฆ่าสัตว์ปีกทุกครั้ง </li>
<li> หากพบสัตว์ปีกหรือเครื่องในมีความผิดปกติให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์โดยเร็ว
</li>
</ol>
</div>
<h2 class="title">
วิธีการทำลายเชื้อ</h2>
<div class="story">
สิ่งที่ต้องทำลายเชื้อ วิธีการทำลายเชื้อ<br />
<ol>
<li>ยานพาหนะ
<ol>
<li>ใช้น้ำฉีดแรงดันสูงเพื่อทำความสะอาดยานพาหนะ </li>
<li>พ่นยาฆ่าเชื้อบนรถและล้อรถด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อกลุ่มฟอร์มาลดีไฮด์
กลุ่ม กลูตาราลดีไฮด์ กลุ่มควอเตอร์นารีแอมโมเนียม กลุ่มฟีนอล หรือสารประกอบคลอรีน
</li>
</ol>
</li>
<li>วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ในโรงเรือน แช่อุปกรณ์ต่าง ๆ ในน้ำยาฆ่าเชื้อกลุ่มคลอรีน
กลุ่มควอเตอร์นารีแอมโมเนียม กลุ่มฟีนอลหรือกลุ่มกลูตาราลดีไฮด์
</li>
<li>โรงเรือน ฉีดพ่นบริเวณโรงเรือนและรอบโรงเรือนทุกวัน เช้า-เย็น
ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเช่นเดียวกับที่ใช้ฉีดพ่นยานพาหนะ </li>
<li>ถาดไข่
<ol>
<li>แช่ถาดไข่ในน้ำยาฆ่าเชื้อกลุ่มน้ำสบู่เช้มข้น ผงซักฟอก
สารประกอบคลอรีน สารประกอบควอเตอร์นารีแอมโมเนียมหรือสารประกอบฟีนอล
เป็นระยะเวลานาน 10-30 นาที หรือ </li>
<li>รมควันถาดไข่ในห้องแบบปิด หรือใช้ผ้าพลาสติกคลุม โดยใช้ฟอร์มาลีน
40 % ผสมกับด่างทับทิม ในอัตราส่วนฟอร์มาลีน 50 มล. ต่อ ด่างทับทิม
10 กรัม ในพื้นที่ขนาด 2 x 2 x 2 เมตร เป็นระยะเวลา 24 ชม. </li>
</ol>
</li>
<li>ไข่
<ol>
<li>จุ่มไข่ในน้ำยาฆ่าเชื้อกลุ่มไฮโปคลอไรท์ หรือสารประกอบฟีนอล
</li>
<li>รมควันโดยใช้วิธีเดียวกับถาดไข่ </li>
</ol>
</li>
</ol>
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดทั่วประเทศ
หรือ โทร. ๐๒-๖๕๓๔๔๔๔ ต่อ ๔๑๔๑ หรือ ๔๑๑๕ <br />
มาตรการเหล่านี้เป็นมาตรการทั่วไปสำหรับการควบคุม
ป้องกันโรคในสัตว์ปีก
ที่เคยได้แนะนำเกษตรกรเมื่อเริ่มมีการระบาดของโรคมาแล้ว
และต้องดำเนินการอย่างเข้มงวดมากขึ้นในกรณีเกิดการระบาดของโรคไข้หวัดนก
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดทั่วประเทศ
หรือ โทร. ๐๒-๖๕๓๔๔๔๔ ต่อ ๔๑๔๑ หรือ ๔๑๑๕ <br />
<ol>
<li>หากพบว่าสัตว์ปีกเช่นไก่ เป็ด
หรือนกที่เลี้ยงไว้ในบ้าน
ป่วยตายอย่างรวดเร็วหรือ ผิดปกติมากกว่า 1 ตัวขึ้นไป
หรือมีนกตกลงมาตายในบริเวณบ้านหรือใกล้บ้านที่มีการเลี้ยงสัตว์ปีก
ควรเก็บตัวอย่างซากสัตว์ที่ตายส่งตรวจหาสาเหตุการตาย
โดยใส่ถุง พลาสติก
2 ชั้น มัดปากถุงให้แน่น
เก็บใส่ภาชนะแช่น้ำแข็งส่งห้องปฏิบัติการตรวจวินิจฉัยโรคของกรมปศุสัตว์ที่
อยู่ใกล้ที่สุด
</li>
<li>หากไม่มีการเลี้ยงสัตว์ปีกอื่น ๆ ให้ทำการทำลายซากสัตว์ปีกดังกล่าว
โดยการเผา หรือฝังในบริเวณที่พบสัตว์ตาย โดยขุดหลุมลึกพอประมาณที่สัตว์จะไม่สามารถคุ้ยซากขึ้นมาได้
ใส่ซาก สัตว์ปีกลงไป แล้วราดทับด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค เช่น น้ำคลอรีน
หรือ ปูนขาว แล้วฝังกลบทับให้แน่น อาจใช้วัตถุหนักทับเพื่อความมั่นใจ
</li>
<li>ก่อนหยิบจับซากสัตว์ทุกครั้ง ต้องสวมผ้าปิดปาก จมูก สวมถุงมือ
หรือใส่ถุงพลาสติก เพื่อป้องกันการสัมผัสกับซากสัตว์โดยตรง เมื่อฝังเสร็จให้ล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาด
</li>
<li>หลังการเก็บซากสัตว์แล้ว ต้องทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ เช่น จอบ
เสียมด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค หรือทำลายถุงมือ ผ้าปิดปาก จมูก ทิ้งโดยเผา
หรือฝัง </li>
</ol>
สามารถส่งซากสัตว์วินิจฉัยโรคได้ที่ <br />
<ol>
<li>สถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กทม.
โทร 0-2589-7908-11 </li>
<li>ศูนย์วิจัยและพัฒนาการสัตวแพทย์ภาคตะวันออก (ชลบุรี) ต.คลองกิ่ว
อ.บ้านบึง ชลบุรี </li>
<li>ศูนย์วิจัยและพัฒนาการสัตวแพทย์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง
(สุรินทร์) </li>
<li>ศูนย์วิจัยและพัฒนาการสัตวแพทย์ภาคตะวันออกตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน
(ขอนแก่น) ต.ท่าพระ อ.เมือง จังหวัดขอนแก่น </li>
<li>ศูนย์วิจัยและพัฒนาการสัตวแพทย์ภาคเหนือตอนล่าง (พิษณุโลก) อ.เมือง
พิษณุโลก </li>
<li>ศูนย์วิจัยและพัฒนาการสัตวแพทย์ภาค เหนือตอนบน (ห้างฉัตร) อ.ห้างฉัตร
จังหวัดลำปาง </li>
<li>ศูนย์วิจัยและพัฒนาการสัตวแพทย์ภาค ตะวันตก (ราชบุรี) ต.หนองกวาง
อ.โพธาราม จังหวัดราชบุรี </li>
<li>ศูนย์วิจัยและพัฒนาการสัตวแพทย์ภาคใต้ (ทุ่งสง) อ.ทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช
</li>
<li>สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ </li>
</ol>
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ
หรือ 02-6534444 ต่อ 4141 หรือ 4115 <br /><br />
ข้อมูล : <strong>สำนักควบคุม ป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ <br /></strong><br />
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09284329454802728091noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7399262009816850879.post-49132782385006377592012-11-24T00:47:00.003-08:002012-11-24T00:47:58.624-08:00อาหารไก่พื้นบ้าน<h2 class="title">
อาหารไก่พื้นบ้าน<br /><img alt="" class="rg_hi uh_hi" data-height="180" data-width="240" height="180" id="rg_hi" src="https://encrypted-tbn3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSN1flpLN2zsFOaV8bZSs1FRxzRbb5x7Z9SLBIIgBMOejzpfBT4" style="height: 180px; width: 240px;" width="240" /></h2>
<div class="story">
ปกติแล้วการเลี้ยงไก่พื้นบ้านมักจะปล่อยให้ไก่หาอาหารกินเองตามมีตามเกิด
หรือตามธรรมชาติ โดยที่ผู้เลี้ยงอาจมีการให้อาหารเพิ่มเติมบ้างในช่วงตอนเช้า
หรือตอนเย็นอาหารที่ให้ก็เป็นพวกข้าวเปลือก ปลายข้าว หรือข้าวโพด
เป็นต้น จากสภาพการเลี้ยงดูแบบนี้ทำให้ความสมบูรณ์ของไก่ผันแปรไปตามสภาพดินฟ้าอากาศ
คือ ในช่วงฤดูฝน ไก่จะมีอาหารค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากได้รับทั้งเมล็ดวัชพืชและหนอนแมลงในปริมาณมาก
ซึ่งอาหารทั้งสองชนิดนี้เป็นแหล่งของไวตามินและโปรตีนที่สำคัญ ตามธรรมชาติ
ทำให้ไก่ในฤดูกาลนี้มีการเจริญเติบโตและความแข็งแรงมากกว่าไก่ในฤดูอื่น
ๆ ส่วนในฤดูเก็บเกี่ยว และนวดข้าว ไก่ก็มีโอกาสที่จะได้รับเศษอาหารที่ตกหล่นมาก
ทำให้ไก่มีสภาพร่างกายอ้วนท้วนสมบูณ์พอสมควร ส่วนในฤดูแล้งมักจะประสพปัญหาไก่ขาดแคลนอาหารตามธรรมชาติ
<br />
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเรื่องน้ำซึ่งมักจะขาดอยู่เสมอ
จำเป็นต้องเตรียมไว้ให้ไก่ด้วย หลักในการให้อาหารไก่พื้นบ้านมีดังต่อไปนี้
<br />
<ol>
<li>ควรซื้อหัวอาหารเพื่อเอามาผสมกับอาหารที่ผู้เลี้ยงมีอยู่เช่น
ผสมกับปลายข้าว หรือรำเป็นต้น อาหารผสมนี้ใช้เลี้ยงไก่โดยเฉพาะอย่างยิ่งไก่เล็ก
จะทำให้ไก่ที่เลี้ยงโตเร็วและแข็งแรง</li>
<li>การใช้เศษอาหารมาเลี้ยงไก่ควรคำนึงถึงความสะอาดและสิ่งแปลกปลอมที่เป็นพิษต่อไก่ด้วย</li>
<li>ถ้าเป็นไปได้ควรเสริมเปลือกหอยป่นในอาหารที่ให้ไก่กินจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องเปลือกไข่บางและปัญหาการจิกกินไข่ของแม่ไก่</li>
<li>ควรนำหญ้าขนหรือพืชตระกูลถั่วบางชนิดเช่น
ถั่วฮามาต้า ใบกระถิน หรือเศษใบพืชต่าง ๆ เช่น ใบปอ ใบมัน เป็นต้น
นำมาสับให้ไก่กินจะทำให้ไก่ได้รับไวตามินและโปรตีนเพิ่มมากขึ้น </li>
<li>การใช้แสงไฟล่อแมลงในตอนกลางคืน
นำแมลงนั้นมาเป็นอาหารไก่จะทำให้ไก่ได้อาหารโปรตีนอีกทางหนึ่งนอกจากนี้ยัง
เป็นการช่วยทำลายแมลงศัตรูพืชอีกด้วย </li>
<li>ควรมีภาชนะสำหรับใส่อาหารและน้ำโดยเฉพาะ
โดยทำจากวัสดุต่าง ๆ ที่หาได้ เช่นยางรถยนต์ หรือไม้ไผ่
ภาชนะสำหรับให้น้ำและอาหารควรวางให้สูงระดับเดียวกับหลังของตัวไก่และใส่
อาหารเพียง
1 ใน 3 ก็พอเพื่อให้หกเรี่ยราด
สำหรับน้ำนั้นควรใช้น้ำที่สะอาดให้ไก่ดื่มกินตลอดเวลา
ส่วนอาหารอาจจะให้เฉพาะตอนเช้า และเย็นเท่านั้น
นอกเหนือจากนั้นให้ไก่หาอาหารกินเอง
</li>
<li>สำหรับอาหารลูกไก่ ควรเป็นอาหารที่ละเอียด
ย่อยง่าย และให้ทีละน้อย ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบการย่อยอาหารของลูกไก่ต้องทำงานหนักเกินไป
</li>
<li>ในช่วงการให้ไข่และฟักไข่ของแม่ไก่ ควรมีอาหารเสริมเป็นพิเศษสำหรับแม่ไก่ซึ่งจะช่วยให้แม่ไก่แข็งแรงไม่ทรุดโทรมเร็ว
และไม่ต้องไปหากินไกล ๆ</li>
<li>ในระยะการกกลูกไก่ในคอกนั้น จำเป็นต้องซื้ออาหารสูตรผสม
(อาหารไก่เล็ก) ที่มีจำหน่ายตามท้องตลาดมาให้ลูกไก่กิน การให้อาหารพวกปลายข้าว</li>
<li>ข้าวเปลือกหรือรำ เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือให้รวมกันจะไม่ได้ผล เพราะจะทำให้ลูกไก่แคระแกรน ไม่แข็งแรง
และตายในที่สุด </li>
<li> ดังนั้นจึงควรหาซื้ออาหารสูตรผสมที่มีโปรตีนเมื่อพ้นระยะการกกแล้วใน</li>
<li>ช่วงเวลากลางวันก็สามารถปล่อยให้ไก่ออกหาอาหารตามธรรมชาติบ้าง
ในช่วงก่อนค่ำก็ไล่ไก่เข้าคอกและควรให้อาหารสูตรสำเร็จเสริมให้ไก่
หรือจะให้เศษอาหารที่เหลือ หรือพวกปลายข้าว รำข้าว ก็ได้ </li>
<li>ในกรณีที่เลี้ยงไก่จำนวนมาก
สิ่งหนึ่งที่ควรคำนึงถึงคือแหล่งอาหารตามธรรมชาติว่ามีเพียงพอต่อจำนวนไก่
หรือไม่
ถ้าไม่เพียงพอก็ควรซื้ออาหารสูตรผสมให้กินเสริมด้วย
มิเช่นนั้นจะพบว่าไก่ที่เลี้ยงจะผอม ไม่แข้งแรง
และมักแสดงอาหารป่วยจนถึงตายในที่สุด
</li>
</ol>
นอกจากการใช้สูตรอาหารสำเร็จมาใช้เลี้ยงไก่แล้ว
ยังมีอาหารอีกรูปแบบหนึ่งที่มีจำหน่ายอยู่ในรูปเข้มข้น
หรือเรียกกันว่าหัวอาหาร ซึ่งสามารถซื้อนำมาผสมกับวัตถุดิบในท้องถิ่นได้
เช่น ปลายข้าว ข้าวโพด หรือมันสำปะหลังตากแห้ง
เป็นต้น
การผสมมักจะคำนึงถึงสูตรอาหารที่จะใช้ว่าจะเลี้ยงในระยะลูกไก่หรือไก่รุ่น
เมื่อทราบอายุไก่ที่เลี้ยงแล้วก็นำหัวอาหาร
และวัตถุดิบที่มีอยู่มาผสมกันตามสัดส่วนที่คำนวณไว้ดังตัวอย่างเช่น
ถ้าหัวอาหารประกอบด้วยโปรตีน 42 เปอร์เซ็นต์
จะนำมาผสมกับปลายข้าวที่ประกอบด้วยโปรตีนประมาณ
8 เปอร์เซ็นต์ เพื่อทำเป็นสูตรอาหารให้ได้โปรตีน 19
เปอร์เซ็นต์ <br />
เพื่อใช้เลี้ยงลูกไก่ การผสมแบบนี้สามารถคำนวณได้ง่าย ๆ ดังนี้ <br />
ขั้นตอนการคำนวณ คือ<br />
<ol>
<li>หาความแตกต่างระหว่างเปอร์เซ็นต์โปรตีนของหัวอาหาร
กับเปอร์เซ็นต์โปรตีนของสูตรอาหารที่ต้อง การผสมในกรณีนี้คือ 42-19
ได้ผลลัพธ์เท่ากับ 23</li>
<li>หาความแตกต่างระหว่างเปอร์เซ็นต์โปรตีนของปลายข้าวกับเปอร์เซ็นต์โปรตีนของสูตรอาหารที่ต้องการผสม
คือ 19-8 ซึ่งจะได้ผลลัพธ์เท่ากับ 11</li>
<li> จากข้อ 1 และข้อ 2
สรุปผลได้ดังนี้คือ ถ้าเรานำหัวอาหาร จำนวน
11 ส่วน มาผสมกับปลายข้าว จำนวน 23 ส่วน เราก็สามารถผสมสูตรอาหารไก่ที่ประกอบด้วยโปรตีน
ประมาณ 19 เปอร์เซ็นต์ได้ <br />
</li>
</ol>
</div>
<h2 class="title">
อาหารไก่พื้นบ้าน 2</h2>
<div class="story">
<img alt="" class="rg_hi uh_hi" data-height="176" data-width="286" height="176" id="rg_hi" src="https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQP30Vtsc9ZZDdurF6Ghs39pKAllIKovcHm0KKcX2nMgdZ1JIOj3g" style="height: 176px; width: 286px;" width="286" /><br />ก่อนอื่นเกษตรกรต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า
ไก่ต้องการอาหารเพื่อใช้ประโยชน์ต่าง ๆ เช่น ใช้ชีวิตประจำวัน เช่น หายใจ
เดิน วิ่ง และการกินอาหาร ใช้ในการสร้างกระดูก
เนื้อ หนัง ขน เล็บ และส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
ใช้ในการสร้างไข่ และผลิตลูกไก่
ดังนั้น การที่ไก่จะเจริญเติบโตดี มีความแข็งแรง
และให้ไข่มาก ไก่
จะต้องได้กินอาหารเพียงพอ และได้กินอาหารดี
โดยสม่ำเสมอทุกวัน ไก่ต้องการอาหารประเภทใดบ้าง
ความต้องการอาหารของไก่คล้ายกับคนมาก
ไก่ต้องการอาหารทั้งหมด 6 อย่าง คือ<br />
<ol>
<li>อาหารประเภทแป้ง เพื่อนำไปสร้างกำลัง
ใช้ในการเดิน การวิ่ง อาหารประเภทนี้ได้จากรำ ปลายข้าว ข้าวโพด ข้าวเปลือก กากมันสำปะหลัง </li>
<li>อาหารประเภทเนื้อ เพื่อนำไปสร้างขน เล็บ
เลือด เนื้อหนัง อาหารประเภทนี้ได้จากแมลง ไส้เดือน ปลา ปลาป่น </li>
<li>อาหารประเภทไขมัน นำไปสร้างความร้อนให้ร่างกาย
อบอุ่นได้จากกากถั่ว กากมะพร้าว ไขสัตว์ น้ำมันหมู กากงา</li>
<li>อาหารประเภทแร่ธาตุ ไก่ต้องการอาหารแร่ธาตุไปสร้างกระดูก
เลือด และเปลือกไข่ แร่ธาตุต่าง ๆ ได้จากเปลือกหอยป่น กระดูกป่น </li>
<li>อาหารประเภทไวตามิน สร้างความแข็งแรง
และกระปรี้กระเปร่าแก่ร่างกาย สร้างความต้านทานโรค
และ บำรุงระบบประสาท มีในหญ้าสด ใบกระถิน
ข้าวโพด รำข้าว ปลาป่น</li>
<li>น้ำ เป็นสิ่งจำเป็นที่สุดต่อร่างกาย ถ้าขาดน้ำไก่จะตายภายใน
24 ชั่วโมง ต้องมีน้ำให้ไก่กินตลอดเวลา การปล่อยให้ไก่หาอาหารเองตามธรรมชาติจนเคยชิน
ทำให้เกษตรกรเข้าใจว่าไก่กินรำและปลายข้าวและอาหารตามธรรมชาติก็
เป็นการเพียงพอแล้วแต่การที่จะเลี้ยงไก่ให้ได้ผลดีนั้นเกษตรกร</li>
</ol>
จะต้องให้การเอาใจใส่เรื่องอาหารและน้ำให้มากขึ้นโดยวิธีการง่ายๆ ดังนี้ <br />
<ol>
<li>ให้น้ำสะอาดตั้งไว้ให้ไก่กินตลอดวัน และคอยเปลี่ยนน้ำทุกๆ วัน</li>
<li>ให้อาหารผสมทุกเช้าเย็นเพิ่มเติมจากอาหารที่ไก่หากินได้ตามปกติ </li>
<li>ให้อาหารไก่หลาย ๆ ชนิดผสมกัน เช่น ปลายข้าว
รำข้าว ข้าวโพดป่น ปลาป่น ข้าวเปลือก กากถั่ว กากมะพร้าว หัวอาหารไก่สำเร็จรูปชนิดเม็ดหรือชนิดผง </li>
<li> มีเปลือกหอยป่นผสมเกลือป่นตั้งทิ้งไว้ให้ไก่กินตลอดเวลา</li>
<li>ให้หญ้าสด ใบกระถิน หรือผักสดให้ไก่กินทุกวัน</li>
<li>ในฤดูแล้ง ไก่มักจะขาดหญ้ากินเกษตรกรควรปลูกกระถินไว้บริเวณใกล้ๆ คอก วิธีปลูกนั้นให้นำเมล็ดกระถินมาลวกด้วยน้ำร้อนนาน 2 ถึง 3
นาที แล้วนำไปแช่น้ำเย็น เสร็จแล้วจึงนำไปเพาะในดินใส่ถุงพลาสติก
จนกระทั่งต้นกระถินสูงประมาณ 1 เมตร</li>
<li>จึงย้ายไปปลูกเป็นแถวหรือแนวรั้ว เมื่อต้นกระถินติดดีแล้ว
ควรตัดให้ต้นต่ำ ๆ เพื่อไก่จะได้กินถึงหรือจะคอยตัดให้ไก่กินก็ได้
นอกจากนั้นเราอาจเพาะข้าวเปลือกหรือถั่วเขียวให้ไก่กินก็ได้ การเพาะถั่วเขียวให้เอาเมล็ดถั่วเขียวแช่เย็นไว้
12 ชั่วโมง ล้างใส่ไหคว่ำไว้หมั่นรดน้ำทุก 2-3 ชั่วโมง พอครบ 3 วันก็เอาออกให้ไก่กินได้
ถั่วเขียว 4 กระป๋องนมให้แม่ไก่กินได้ประมาณ 100 ตัว</li>
<li>การใช้หัวอาหารไก่สำเร็จรูปผสมลงในรำข้าวหรือปลายข้าวเป็นวิธีการที่สะดวกที่สุด
เนื่องจากเกษตรกรสามารถหาซื้อได้ง่ายและผสมได้สะดวกเป็นวิธีที่จะเสริมให้ไก่เจริญเติบโตรวดเร็วขึ้น </li>
<li>การสังเกตว่าไก่ได้อาหารเพียงพอหรือไม่ให้ดูว่าในระยะแรกที่ให้อาหารไก่จะรีบกินและมีการแย่งกัน
ถ้าไก่กินอาหารไปเรื่อย ๆ และเลิกแย่งกันกินอาหารช้าลง มีการคุ้ยเขี่ย
แสดงว่าไก่ได้กินอาหารเพียงพอแล้ว</li>
</ol>
ข้อมูลจาก <strong>กรมปศุสัตว์</strong><br />
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09284329454802728091noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7399262009816850879.post-52474400499752640302012-09-24T09:41:00.003-07:002012-09-24T09:41:28.869-07:00การเลี้ยงไก่พื้นเมือง<div align="center">
<span style="color: blue; font-family: Tahoma; font-size: small;"><strong>การเลี้ยงไก่พื้นเมือง</strong></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-size: small;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"></span></span></div>
<span style="font-family: Tahoma; font-size: small;"> หนังสือพิมพ์ไทยรัฐออ
นไลน์ ฉบับวันที่ 17 กันยายน 2552 ได้นำเสนอข่าวในคอลัมน์เกษตร
ในหัวข้อข่าวว่า 425 ล้าน
เลี้ยงไก่พื้นเมืองฟื้นฟูเศรษฐกิจผู้เลี้ยงสัตว์ปีก โดยอธิบดีกรมปศุสัตว์
เผยจะมีการจัดทำฟาร์มสาธิตประจำอำเภอทุกตำบล
ควบคู่กับการถ่ายทอดองค์ความรู้ สร้างเครือข่ายแก่เกษตรกรผู้เลี้ยง
ให้เป็นไปตามมาตรฐานการป้องกันโรคระบาดสัตว์ปีก ซึ่งจะใช้งบประมาณ
425,078,840 บาท ดำเนินงาน เป็นโครงการที่น่าสนใจมาก
ฉะนั้นเราควรหันมาศึกษาวิธีการเลี้ยงไก่พื้นเมืองกันดีกว่า</span><br />
<br /><span style="font-family: Tahoma; font-size: small;"><span style="font-size: small;"><img align="absMiddle" alt="" height="225" hspace="20" src="http://www.sahavicha.com/UserFiles/Image/d2%281%29.jpg" vspace="20" width="300" /></span>
</span><br /><span style="font-family: Tahoma; font-size: small;">
<strong><span style="color: maroon;">เนื้อหาสำหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้</span></strong> การงานอาชีพและเทคโนโลยี (งานเกษตร) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น หรือช่วงชั้นที่ 3 เรื่องการเลี้ยงสัตว์<br />
<br />
<span style="color: blue;"><strong>การเลี้ยงไก่พื้นเมืองให้ได้ผลดี</strong></span> <br />
ในการเลี้ยงไก่พื้นเมืองที่จะให้ได้ผลผลิตดีนั้น มีสิ่งที่จะต้องคำนึงถึง ดังนี้ <br />
* พันธุ์ดี * อาหารดี *โรงเรือนดี * การจัดการ (การเลี้ยงดู) ดี * การควบคุมป้องกันโรคดี<br />
<strong><span style="color: blue;">1. พันธุ์ดี</span></strong><br />
ปัจจุบันไก่พื้นเมืองมีหลากหลายสายพันธุ์ เช่น ไก่แจ้
ไก่อู ไก่ตะเภา ไก่เบตง และไก่ชน
ส่วนใหญ่และไก่พื้นเมืองจะเป็นสายพันธุ์ไก่ชนสังเกตได้จากแม่ไก่จะมีขนดำ
หน้าดำ และแข้งดำ หงอนหิน แต่จะมีแม่พันธุ์บางส่วนที่มีสีเทา สีทอง
แต่หงอนก็ยังเป็นหงอนหิน ซึ่งเป็นลักษณะหงอนของไก่ชน
เหตุที่เกษตรกรนิยมเลี้ยงไก่พื้นเมืองพันธุ์ไก่ชน
เพราะว่าไก่ชนมีรูปร่างใหญ่และยาว เจริญเติบโตดี และแม่พันธุ์ก็ไข่ดก
เนื่องจากนักผสมพันธุ์ไก่ชนได้คัดเลือกลักษณะดีเด่นไว้อย่างต่อเนื่องนับ
ร้อยปีมาแล้วเกษตกร
เพื่อนบ้านจะขอซื้อขอยืมหรือขอไปขยายพันธุ์มากกว่าไก่พันธุ์อื่นๆ
กรมปศุสัตว์ได้ทำการวิจัยผสมพันธุ์คัดพันธุ์ไก่พื้นเมืองมาตั้งแต่
ปีพ.ศ.2532 โดยเริ่มจากสายพันธุ์ไก่ชน จาก 17
จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
แต่การปรับปรุงพันธุ์ไม่ได้เน้นในด้านการชนเก่ง
แต่เน้นในด้านการเจริญเติบโต และไข่ดก เพื่อให้สามารถขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว
สำหรับไก่ชนไทยแท้สีขนแยกได้หลากหลาย ถึง 17 สีขน เช่น เหลืองหางขาว
ประดู่หางดำ เหลืองเลา ประดู่เลา แสมดำ เป็นต้น</span><br />
<div align="center">
<span style="font-size: small;"><img align="absMiddle" alt="" height="225" hspace="20" src="http://www.sahavicha.com/UserFiles/Image/DSCF1567.jpg" vspace="20" width="300" /><br /><a href="http://www.dld.go.th/lscc_ccs/image/DSCF1567.JPG" target="_blank">เอื้อเฟื้อภาพ สถานีวิจัยและทดสอบพันธุ์สัตว์บางประกง</a></span>
</div>
<span style="font-family: Tahoma; font-size: small;"><strong><span style="color: blue;">2. อาหารดี</span></strong><br />
อาหารที่ใช้เลี้ยงไก่พื้นเมืองมีอยู่หลายชนิด
แต่ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย คือ ข้าวเปลือก ปลายข้าว และรำ
ซึ่งเป็นอาหารที่มีอยู่ในท้องถิ่น
นอกจากนี้ผู้ที่เลี้ยงไก่พื้นเมืองอาจใช้ข้าวโพด ใบกระถินบดให้ละเอียด
กากถั่วเหลือง และปลาป่น ฯลฯ<br />
โดยหลักการแล้ว ไก่พื้นเมืองต้องการอา
หารที่ดีมีคุณภาพที่มีพร้องทั้งไขมัน คาร์โบไฮเดรต โปรตีน แร่ธาตุ
และวิตามิน ซึ่งมีพร้อมในอาหารสำเร็จรูป แต่การเลี้ยงไก่พื้นเมืองในชนบท
จะเป็นการเลี้ยงเพื่อรับประทานในครัวเรือน
โดยปล่อยให้ไก่พื้นเมืองหาอาหารกินเองตามธรรมชาติ จะมีการให้อาหารเสริมบ้าง
เช่น ปลายข้าวหรือข้าวเปลือกโปรยให้กินก่อนไก่พื้นเมืองเข้าโรงเรือน
แต่สำหรับผู้เลี้ยงไก่พื้นเมืองที่ต้องการให้ไก่พื้นเมืองเจริญเติบโตเร็ว
ขายได้ราคาดี ควรให้อาหารที่มีคุณค่าครบถ้วนตามที่ไก่พื้นเมืองต้องการ
อาจใช้หัวอาหารผสมกับปลายข้าวและรำ ในอัตราส่วน 1 : 2 : 2 (หัวอาหาร 1 ส่วน
ปลายข้าว 2 ส่วน รำ 2 ส่วน) หรืออาจใช้สูตรอาหารต่อไปนี้<br />
สูตรอาหารที่ใช้เลี้ยงลูกไก่พื้นเมือง<br />
<br />
แรกเกิด จนถึงอายุ 2 เดือน <br />
1. หัวอาหารอัดเม็ดสำหรับไก่ระยะแรก 8 กิโลกรัม<br />
2. รำรวม 8 กิโลกรัม<br />
3. ปลายข้าว 10 กิโลกรัม <br />
สูตรอาหารที่ใช้เลี้ยงไก่พื้นเมืองอายุ 2 เดือนขึ้นไป<br />
1. รำรวม 38 กิโลกรัม<br />
2. ปลายข้าว 60 กิโลกรัม<br />
3. เปลือกหอยป่น 2 กิโลกรัม</span><br />
<div align="center">
<span style="font-family: Tahoma; font-size: small;"><img align="absMiddle" alt="" height="225" hspace="20" src="http://www.sahavicha.com/UserFiles/Image/64.gif" vspace="20" width="300" /><br />
<a href="http://www.dld.go.th/lssp_spr/image/64.gif" target="_blank">เอื้อเฟื้อภาพโดย กรมปศุสัตว์</a></span></div>
<span style="font-size: small;"><br /><span style="color: blue;"><strong>3. โรงเรือนดี</strong></span></span>
<span style="font-size: small;"><br />
โรงเรือนการเลี้ยงไก่พื้นเมืองนั้น ไม่มีรูปแบบที่ตายตัวแน่นอน
โรงเรือนอาจจะทำเป็นเพิงหมาแหงนกลาย แบบหน้าจั่วและอื่น ๆ
การที่จะเลือกแบบใดนั้นขึ้นอยู่กับรูปแบบและวัตถุประสงค์ของการเลี้ยง
วัสดุอุปกรณ์ ต้นทุน
ผู้ที่เลี้ยงไก่พื้นเมืองส่วนใหญ่ในชนบทจะเลี้ยงไก่พื้นเมืองในบริเวณบ้าน
และทำโรงเรือนไว้ใต้ถุนบ้าน
หรือใต้ยุ้งฉางการเลี้ยงไก่พื้นเมืองแบบนี้จะหวังผลแน่นอนไม่ได้
ไก่พื้นเมืองบางรุ่นรอดตายมาก บางรุ่นอาจตายหมด
มีจำนวนน้อยรายมากที่ทำโรงเรือนแยกต่างหากจากบริเวณบ้านพัก ดังนั้น
เพื่อให้การเลี้ยงไก่พื้นเมืองได้ใช้เป็นที่อยู่อาศัยพักหลับนอนในตอนกลาง
คืนด้วยโรงเรือนไก่พื้นเมืองมีความสำคัญมาก
สภาพของโรงเรืองไก่พื้นเมืองที่ดีควรมีลักษณะ ดังนี้<br />
1. สามารถป้องกันแดดกันฝนได้ดี<br />
2. ภายในโรงเรือนควรโปร่ง ไม่อับทึบ ไม่ชื้น และระบายอากาศดีแต่ไม่ถึงกับมีลมโกรก<br />
3. ควรสร้างโรงเรือนแบบประหยัด ใช้สิ่งก่อสร้างที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น รักษาความสะอาดง่าย ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคได้ทั่วถึง<br />
4. ป้องกันศัตรูต่าง ๆ ได้ดี เช่น สุนัข แมว นก และหนู<br />
5. ห่างจากที่พักพอสมควร สะดวกต่อการเข้าปฏิบัติงานดูแลไก่พื้นเมือง มีที่ให้อาหารและน้ำ<br /><br /><span style="color: blue;"><strong>4. การจัดการ (การเลี้ยงดู) ดี</strong></span></span>
<span style="font-size: small;"><br />
เมื่อลูกไก่พื้นเมืองออกจากไข่หมดแล้ว
ควรให้แม่ไก่พื้นเมืองเลี้ยงลูกเอง
โดยย้ายแม่ไก่พื้นเมืองและลูกไก่พื้นเมืองลงมาขังในสุ่มหรือในกรงในระยะนี้
ควรมีถาดอาหารสำหรับใส่รำ ปลายข้าว
หรือเศษข้าวสุกให้ลูกไก่พื้นเมืองกินและมีถ้วยหรืออ่างน้ำตื้น ๆ
ใส่น้ำสะอาดให้กินตลอดเวลาเมื่อลูกไก่พื้นเมืองอายุประมาณ 2 สัปดาห์
ลูกไก่พื้นเมืองแข็งแรงดีแล้ว
จึงเปิดสุ่มหรือกรงให้ลูกไก่พื้นเมืองไปหากินกับแม่ไก่พื้นเมืองได้โดย
ธรรมชาติแม่ไก่พื้นเมืองจะเลี้ยงลูกประมาณ 2 สัปดาห์
หลังจากนั้นให้แยกลูกไก่พื้นเมืองออกจากแม่ไก่พื้นเมือง
โดยนำไปเลี้ยงในกรงหรือแยกเลี้ยงต่างหาก
เพื่อให้แม่ไก่พื้นเมืองฟักตัวเตรียมไข่ในรุ่นต่อไป</span><br />
<span style="font-family: Tahoma; font-size: small;"> ลูกไก่พื้นเมืองอายุ 2
สัปดาห์ที่แยกออกจากแม่ไก่พื้นเมืองใหม่ ๆ ยังหาอาหารไม่เก่งและยัง
ป้องกันตัวเองไม่ได้
ดังนั้นจึงต้องเลี้ยงต่างหากในกรงเพื่อให้แข็งแรงปราดเปรียว
และเมื่อมีอายุได้ 1 -2
เดือนจึงปล่อยเลี้ยงตามธรรมชาติในระยะนี้ลูกไก่พื้นเมืองจะมีการตายมากที่
สุดผู้ที่เลี้ยงควรเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิดในเรื่องน้ำ อาหาร
และการป้องกันโรค </span><br />
<div align="center">
<span style="font-size: small;"><img align="absMiddle" alt="" height="225" hspace="20" src="http://www.sahavicha.com/UserFiles/Image/d2%281%29.jpg" vspace="20" width="300" /><br /><a href="http://www.maemoh.org/maemoh45/maemoh8/d2.jpg" target="_blank">เอื้อเฟื้อภาพโดย สำนักงานประถมศึกษาอำเภอแม่เมาะ</a></span>
</div>
<span style="font-family: Tahoma; font-size: small;"><span style="color: blue;"><strong>5. การควบคุมป้องกันโรคดี</strong></span><br />
ในการเลี้ยงไก่พื้นเมือง ผู้ที่เลี้ยงควรยึดหลัก
"กันไว้ดีกว่าแก้"
เพราะปัญหาโรคเป็นปัญหาสำคัญที่จะทำให้ผู้ที่เลี้ยงไก่พื้นเมืองไม่ประสบผล
สำเร็จ ในปีหนึ่ง ๆ จะสูญเสียไก่พื้นเมืองจึงต้องมีการสุขาภิบาลที่ดี
และการให้วัคซีนป้องกันโรค ดังนี้<br />
<strong><span style="color: maroon;">การสุขาภิบาลการเลี้ยงไก่พื้นเมืองที่ดี</span></strong> ควรปฏิบัติดังนี้<br />
1. ต้องดูแลทำความสะอาดโรงเรือนและภาชนะต่าง ๆ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค พยายามอย่าปล่อยให้โรงเรือนชื้นแฉะ<br />
2. สร้างโรงเรือนให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก<br />
3. กำจัดแหล่งน้ำสกปรก รอบ ๆ บริเวณโรงเรือนและบริเวณใกล้เคียง<br />
4. อาหารไก่ต้องมีคุณภาพ อาหารที่กินไม่หมดให้ทิ้ง อย่าปล่อยให้เน่าบูดเสีย<br />
5. มีน้ำสะอาดให้ไก่กินตลอดเวลา<br />
6. ถ้ามีไก่พื้นเมืองป่วยไม่มากนักให้กำจัดเสีย และจัดการเผาหรือฝังให้เรียบร้อย จะช่วยป้องกันโรคได้เป็นอย่างดี<br />
7. อย่าทิ้งซากไก่พื้นเมืองที่เป็นโรคลงแหล่งน้ำเป็นอันขาดเพราะเชื้อโรคจะแพร่ระบาดได้<br />
8. ไก่พื้นเมืองที่ซื้อมาใหม่ ควรแยกเลี้ยงไว้ต่างหาก
โดยกักขังไว้ประมาณ 15 วัน หากไม่เป็นโรคจึงนำมาเลี้ยงในบริเวณเดียวกันได้<br />
9. เมื่อมีโรคระบาดไก่พื้นเมืองเกิดขึ้น ผู้ที่เลี้ยงไก่พื้นเมืองไม่สามารถจะดูแลหรือป้องกันรักษาเองได้ ควรปรึกษาผู้รู้<br />
<br />
<strong><span style="color: maroon;">การให้วัคซีนป้องกันโรคระบาดไก่พื้นเมือง ควรปฏิบัติดังนี้</span></strong><br />
การเลี้ยงไก่พื้นเมือง แม้ว่าจะมีการสุขาภิบาลที่ดี
แต่โดยปกติสิ่งแวดล้อมจะมีเชื้อโรคอยู่
ซึ่งสามารถทำให้ไก่พื้นเมืองเป็นโรคได้ทุกเวลา ดังนั้น
ผู้เลี้ยงไก่พื้นเมืองจึงต้องสร้างความต้านทานโรคโดยการให้วัคซีนป้องกันโรค
ซึ่งควรให้ตั้งแต่ไก่พื้นเมืองอายุยังน้อยและสม่ำเสมอตามตารางที่กำหนด
การให้วัคซีนจะให้ผลดีที่สุดต่อเมื่อ<br />
- สุขภาพของไก่พื้นเมืองแข็งแรง ไม่เป็นโรค<br />
- วัคซีนที่ใช้มีคุณภาพดี<br />
- เครื่องมือที่ใช้กับวัคซีนสะอาด และผ่านการต้มฆ่าเชื้อโรคแล้ว<br />
- ให้วัคซีนไก่พื้นเมืองครบตามขนาดที่กำหนด<br />
- ให้วัคซีนอย่างสม่ำเสมอและพยายามให้วัคซีนไก่พื้นเมืองที่มีสุขภาพดีทุกตัวในฝูงเดียวกัน<br />
- การให้วัคซีนแต่ละชนิดควรเว้นระยะห่างกันประมาณ 5-7 วัน</span><br />
<span style="font-size: small;"><br /><span style="font-family: Tahoma;"><span style="color: maroon;">ประเด็นคำถามเพื่อนำไปสู่การอภิปรายในห้องเรียน</span><br />
1.การเลี้ยงสัตว์ปีกมีความสำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนเราอย่างไร<br />
2.การเลี้ยงสัตว์ปีกไว้บริโภคเองกับซื้อสัตว์ปีกชำแหละจากท้องตลาดมาจำหน่าย อย่างไหนจะได้บริโภคเนื้อสัตว์ที่ปลอดภัยกว่ากัน</span></span>
<br />
<span style="font-family: Tahoma; font-size: small;"><span style="color: maroon;">กิจกรรมเสนอแนะ</span><br />
- ศึกษาค้าคว้าเกี่ยวกับ การเลี้ยงสัตว์ปีกชนิดอื่นเพิ่มเติม และทำรายงานส่งคนละ 1 เรื่อง<br />
- การบูรณาการกับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆ<br />
<span style="color: maroon;">การบูรณาการกับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น</span><br />
สามารถบูรณาการกับกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับการเจริญเติบโตของสัตว์ปีก</span>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09284329454802728091noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7399262009816850879.post-20347846705547668572012-09-24T09:40:00.001-07:002012-09-24T09:40:15.374-07:00การเลี้ยงไก่ให้ได้ผลดี<h2 class="title">
การเลี้ยงไก่ให้ได้ผลดี</h2>
<h2 class="title">
<img height="480" id="il_fi" src="http://www.dld.go.th/lscc_ccs/image/DSCF1567.JPG" style="padding-bottom: 8px; padding-right: 8px; padding-top: 8px;" width="640" /> </h2>
<div class="story">
ในการเลี้ยงไก่พื้นเมืองที่จะให้ได้ผลผลิตดีนั้น มีสิ่งที่จะต้องคำนึงถึง ดังนี้<br />
<ol>
<li>โรงเรือนหรือเล้าไก่ ต้องมีโรงเรือนหรือเล้าให้ไก่นอน มีหลังคากันแดดกันฝนได้
ไม่ควรเลี้ยงไก่ไว้ใต้ถุนบ้าน เพราะนอกจากจะไม่ถูกสุขลักษณะแล้ว คนบนเรือนจะถูกไรไก่รบกวนอีกด้วย
เกษตรกรสามารถทำเล้าไก่แบบง่าย ๆ ได้เอง โดยใช้วัสดุที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น
เช่น ไม้ไผ่ แฝก จาก ฯลฯ สถานที่ตั้งของเล้าไก่ ควรให้ห่างจากตัวบ้านพอสมควรและอยู่ในที่ดอนไม่ชื้นแฉะ
ไม่ควรอยู่ใกล้ต้นไม้ เพราะไก่ชอบนอนบนต้นไม้จะไม่เข้าไปนอนในเล้า
พื้นเล้าอาจจะปูด้วยแกลบหรือขี้เลื่อยหรือฟางแห้งหนาอย่างน้อย 4 ซ.ม.
และต้องเปลี่ยนวัสดุรองพื้นทุก ๆ 3 เดือนให้หนาเท่าเดิมอยู่เสมอ
เล้ากว้าง 3 เมตร ยาว 4 เมตร สูง 2 เมตร เลี้ยงไก่ขนาดใหญ่ได้
ประมาณ 30-40 ตัว <br />
เล้ากว้าง 1 เมตร ยาว 2 เมตร สูง 1 เมตร เลี้ยงไก่ขนาดใหญ่ได้ประมาณ
6-8 ตัว <br />
ควรมีกรงไก่ขนาดเล็กอีก 2 กรง คือ<br />
<ul>
<li>กรงหรือสุ่มสำหรับเลี้ยงแม่ไก่กับลูกอ่อน 1 กรง</li>
<li>กรงหรือสุ่ม สำหรับเลี้ยงไก่เล็ก 1 กรง</li>
</ul>
</li>
<li>รางน้ำ ต้องมีรางน้ำสำหรับน้ำสะอาดให้ไก่กิน อาจใช้รางไม้ไผ่ผ่าครึ่งก็ได้</li>
<li>รางอาหาร ควรมีรางสำหรับให้อาหารไก่ เพราะการให้ไก่จิกกินอาหารบนพื้นดินทำให้ไก่เป็นโรคพยาธิได้ง่าย
ขนาดราง :<br />
ไก่ใหญ่ 10 ตัว ใช้รางยาว 1 เมตร <br />
ไก่รุ่น 10 ตัว ใช้รางยาว 50 เซนติเมตร <br />
ไก่เล็ก 10 ตัว ใช้รางยาว 20 เซนติเมตร <br />
</li>
<li>รางใส่กรวดและเปลือกหอยป่นผสมเกลือป่น ไก่ทุกขนาดต้องกินกรวดและเปลือกหอยเพื่อนำไปสร้างกระดูกและเปลือกไข่
กรวดและเปลือกหอยต้องตั้งทิ้งไว้ให้กินตลอดเวลา </li>
<li>รังไข่ ปกติแม่ไก่พื้นเมืองจะไข่ในรังไข่เมื่อไข่ได้
10-12
ฟองจึงจะเริ่มฟักต้องมีจำนวนรังไข่เท่ากับจำนวนแม่ไก่ที่ไข่เพื่อไม่ให้ไก่
แย่งกัน
ขนาดรังไข่กว้างและยาว 1 ฟุต สูง 8 นิ้วฟุต
หรือใช้เข่งก็ได้รองด้วยหญ้าหรือฟางแห้งให้ถึงครึ่งควรตั้งรังไข่ให้อยู่ใน
ที่มิดชิด
ไม่ร้อนเกินไป ฝนสาดไม่ถึง แต่แม่ไก่เดินเข้าออกสะดวก </li>
<li>ม่านกันฝน ด้านที่ฝนสาดหรือแดดส่องมาก ๆ ควรมีม่านผ้าใบ กระสอบ
หรือเสื่อเก่า ๆ ห้อยทิ้งไว้โดยเฉพาะมุมที่วางรังไข่</li>
<li> คอนนอน สำหรับให้ไก่นอน ควรจะพาดไว้มุมใดมุมหนึ่งของเล้า
คอนนอนควรเป็นไม้กลมดีกว่าไม้เลี่ยมซึ่งไก่จะจับคอนนอนได้ดีและเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดบาดแผลที่หน้าอกไก่อีกด้วย </li>
</ol>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09284329454802728091noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7399262009816850879.post-8024913546915283792012-09-24T09:38:00.003-07:002012-09-24T09:38:46.869-07:00การฟักลูกไก่<h2 class="title">
การฟักลูกไก่</h2>
<div class="story">
ธรรมชาติของไก่พื้นบ้าน เมื่อฟักลูกไก่ออกแล้วยังต้องทำหน้าที่เลี้ยงดู
โดยหาอาหารตาม ธรรมชาติและป้องกันภยันตรายทั้งหลายจนลูกไก่อายุประมาณระหว่าง
6-10 สัปดาห์ แม่ไก่จึงจะปล่อยให้ลูกหากินตามอิสระ การที่แม่ไก่ต้องคอยเลี้ยงดูลูกไก่นั้น
จะมีผลเสียเกิดขึ้นได้ดังนี้ ในระหว่างการเลี้ยงลูกนั้น แม่ไก่จะหยุดการให้ไข่โดยสิ้นเชิง
ทำให้การออกไข่ของชุดต่อไปล่าช้า อัตราการตายของลูกไก่สูงขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนจากร้อนจัดแล้วฝนตก
ทำให้ลูกไก่ได้รับสภาวะเครียด ถ้าปรับตัวไม่ทันมักจะตาย ในแหล่งที่มีอาหารตามธรรมชาติไม่เพียงพอ
ย่อมทำให้ลูกไก่ได้รับอาหารไม่ครบถ้วน ทำให้อ่อนแอ มีภูมิต้านทานต่อโรคต่ำลง
เป็นผลทำให้ลูกไก่ตายด้วยโรคแทรกซ้อนได้ง่าย จำนวนลูกไก่ที่ฟักได้ต่อปีต่อแม่ไก่ลดลง
ผลเสียดังกล่าวข้างต้น โดยปกติเกษตรกรมักมองข้ามและไม่ให้ความสนใจเท่าที่ควร
เป็นเพราะราคาไม่สูงเหมือนกับสัตว์ใหญ่ชนิดอื่น ๆ ที่จำหน่ายได้ในราคาสูง ๆ
อย่างไรก็ตามถ้าเกษตรกรจะยอมลงทุนบ้างและให้ความเอาใจใส่เพิ่มขึ้นอีกเล้กน้อยก็จะสามารถลดความสูญเสียดังกล่าว<br />
<img alt="ลูกไก่ชน" height="300" src="http://www.gaichon.com/img/chicken.jpg" width="400" /><br />
ได้มากพอควร ซึ่งอาจเพียงพอที่จะทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น
วิธีการแก้ไขทำได้โดยการแยกลูกไก่จากแม่ไก่มากเองภายในคอกไก่ การกกลูกไก่
คือการให้ความอบอุ่นแก่ลูกไก่โดยอาศัยความอบอุ่นจากหลอดไฟฟ้า หรือลวดร้อน
หรือเตาถ่าน เป็นต้น ซึ่งก็เปรียบเสมือน บริเวณใต้ปีกไก่ของแม่ไก่ที่คอยให้ความอบอุ่นแก่ลูก
ๆ นั่นเอง อุปกรณ์และวัสดุที่ใช้สำหรับการกกลูกไก่ประกอบด้วย <br />
<ol>
<li>วัสดุรองพื้นคอก ที่นิยมใช้คือ แกลบเพราะหาได้สะดวก หรือจะเป็นพวกขี้เลื่อย
หรือฟางข้าวแห้งนำมาตัดเป็นท่อน ๆ ยาวพอประมาณก็ได้ </li>
<li>แผงกั้นกกลูกไก่ อุปกรณ์ชนิดนี้มีไว้สำหรับจำกัดบริเวณลูกไก่ให้อยู่เฉพาะบริเวณที่มีความอบอุ่น
และมีอาหาร
ลูกไก่แรกเกิดนั้น จะยังไม่คุ้นเคยว่าบริเวณใดอบอุ่น
ถ้าไม่มีแผงกั้นกก ลูกไก่อาจเดินหลงไปตามมุมคอกไก่ซึ่งความอบอุ่นไปไม่ถึง
ย่อมส่งผลสูญเสียต่อการเลี้ยง แผงกั้นกกอาจทำจากไม้ไผ่ หรือวัสดุชนิดใดก็ได้ที่กั้นแล้วลูกไก่ลอดผ่านไม่ได้
โดยมากมักวางแผงกั้นกกเป็นรูปวงกลมจะดีกว่าวางเป็นรูปเหลี่ยม<br />
</li>
<li>หลอดไฟฟ้า หลอดไฟ 100 วัตต์พร้อมฝาโป๊ะ 1 ชุด
สามารถใช้กกลูกไก่ได้ประมาณ
10-50 ตัว แต่ในหมู่บ้านที่ยังไม่มีไฟฟ้า
อาจดัดแปลงใช้เตาถ่านที่ยังมีความร้อนอยู่วางไว้บริเวณกึ่งกลางของแผงกั้นกก
แล้วใช้แผ่นสังกะสีล้อมรอบเตาถ่ายนั้น
ไว้อีกชั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกไก่เดินชน
หรือโดดลงไปในเตาถ่าน </li>
<li>ม่านกั้นคอกไก่ มีไว้สำหรับป้องกันไม่ให้ลมฝนผ่านเข้าในคอกในระยะการกก
ม่านนั้นอาจทำจากวัสดุเหลือทิ้ง เช่น
พวกถุงปุ๋ยเก่า ๆ หรือพวกพลาสติก ซึ่งต้องนำมาล้างให้สะอาดก่อนนำมาทำเป็นม่าน </li>
<li>ที่ให้น้ำและอาหาร อาจทำจากไม้ไผ่ผ่าซีก
หรือทำจากยางรถจักรยานหรือมอเตอร์ไซด์เก่า
ๆ ก็ได้ แต่ขนาดของยางไม่ควรกว้างและลึกเกินไป
การกกลูกไก่นั้น จะใช้เวลาประมาณ
3-5 สัปดาห์ ส่วนในฤดูร้อนจะใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์
การกกในฤดูร้อนในช่วงกลางวันไม่จำเป็นต้องเปิดกกเพราะอุณหภูมิสูงอยู่แล้ว
บางครั้งยังต้องเปิดม่านเพื่อให้ลมพัดผ่านระบายความร้อนภายในคอกออกไปด้วย
ส่วนในเวลากลางคืน ควรเปิดกกและปิดม่านให้เรียบร้อย </li>
</ol>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09284329454802728091noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7399262009816850879.post-23372448471567495222012-09-24T09:37:00.004-07:002012-09-24T09:37:55.038-07:00ไก่ชน<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
<img alt="" border="0" height="300" src="http://www.kaichon.com/webboard/index.php?action=dlattach;topic=19638.0;attach=127090;image" width="400" />
</h3>
<div class="post-header">
</div>
ไก่ชน<br /> ไก่ชน เป็นกีฬาที่ต้องอาศัยความเข้าใจ
ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นบาป
แต่ถ้าจะมองให้ลึกซึ้งตามมุมมองของคนที่ชอบไก่ชน
ก็จะมองเห็นชัดในแง่มุมของศิลปะการต่อสู้
ซึ่งเป็นการต่อสู้ที่มีความพลิ้วไหวและสวยงามมาก ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ
การคิดค้นพัฒนาสายพันธุ์เพื่อก้าวไปสู่ความเป็นหนึ่งในวงการไก่ชน<br />
<img alt="" border="0" height="225" src="http://www.kaichon.com/webboard/index.php?action=dlattach;topic=19638.0;attach=127091;image" width="300" /><br />
ในการพัฒนาสายพันธุ์นั้นจะมีใครสักกี่คนที่ประสบผลสำเร็จบ้าง
หรือที่สามารถสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองจนเป็นที่ยอมรับของบรรดาพี่น้องในวง
การไก่ชน ถ้าทำได้ถือว่าบุคคลนั้นมีความประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก
ซึ่งผมเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มีความหลงใหลในความซับซ้อนและความละเอียดอ่อน
ของกลวิธีเพื่อเพาะพันธุ์สายพันธุ์ไก่ชนที่ดี
ผมถือว่ามันเป็นสิ่งที่ท้าทายมาก
เพราะทดสอบเพื่อประเมินผลความสำเร็จของการเพาะพันธุ์ไก่ชนนั้นคือ
การนำไก่เข้าชนในสนาม
หากไม่เป็นที่พอใจก็แสดงว่าการเพาะพันธุ์ที่ผ่านมาล้มเหลวใช้ไม่ได้
ต้องมานั่งทำการวิเคราะห์หาสาเหตุของความผิดพลาดนั้นๆ
ซึ่งกว่าจะทราบผลก็ต้องใช้เวลาเป็นปี<br />
<br />
<img height="453" id="il_fi" src="http://fix.gs/uploadpic/2012/08/04/21/bantamtawaravadee-2012-08-04-1344090904-1371776070297357827.gif" style="padding-bottom: 8px; padding-right: 8px; padding-top: 8px;" width="678" /> Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09284329454802728091noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7399262009816850879.post-28875427144195662422012-09-24T09:35:00.002-07:002012-09-24T09:35:17.182-07:00วิธีการเลี้ยงไก่สำหรับชน<img height="488" id="il_fi" src="http://www.kaichon.com/webboard/index.php?action=dlattach;topic=19638.0;attach=127919;image" style="padding-bottom: 8px; padding-right: 8px; padding-top: 8px;" width="628" /><br />
<br />
<strong>วิธีการเลี้ยงไก่สำหรับชน</strong><br />วิธีการเลี้ยงไก่สำหรับออกชน
มีอยู่ด้วยกันหลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับประสบการและทุนทรัพย์
อย่างไรก็ตามวิธีที่ผมจะได้นำเสนอในครั้งนี้เป็นวิธีที่เป็นที่นิยมกันมาก
มีขั้นตอน ดังนี้<br /><br /><strong>การเตรียมความพร้อม</strong><br />1. การเตรียมไก่ หรือการคัดเลือกไก่หนุ่ม<br />ไก่
หนุ่มเป็นไก่ที่เราต้องทำการคัดเลือกหาตัวที่ดีที่สุดในรุ่นเดียวกัน
มีความสมบูรณ์ที่สุด และมีลักษณะต้องตา ที่สำคัญ ต้องแม่นตอ 2 แข็ง ลำโต
เชิงชนสวย อายุตั้งแต่ 10 เดือนขึ้นไป<br />2. เตรียมอุปกรณ์และที่นอนสำหรับไก่<br />ควร
จัดเตรียมสุ่มไก่ พรหมสำหรับรอง ผ้าเช็ดน้ำ
อุปกรณ์เหล่านี้ไม่ควรให้ไก่ใช้ร่วมกัน
และที่สำคัญที่นอนของไก่จะต้องสะอาดปราศจากสิ่งที่เป็นอันตรายทั้งหลาย<br /><br /><strong>การอาบน้ำไก่</strong><br /><strong>1. ตอนเช้า</strong><br />ก่อน
อาบน้ำไก่ควรสังเกตการณ์ย่อยอาหารของไก่ ว่าไก่มีการย่อยอาหารดีหรือไม่
และจึงทำการบริหารและคลายกล้ามเนื้อ บริเวณคอและโคนปีก
ตามด้วยการให้กินยาบำรุงกำลัง แล้วเริ่มอาบน้ำไก่ในช่วงสายของทุกวัน
(ให้ปฏิบัติเฉพาะวันที่อากาศแจ่มใส)
ควรใช้ผ้าประคบหน้าทุกครั้งที่มีการอาบน้ำ ลงกระเบื้อง
ทำการนวดและเช็ดตามขน และเนื้อตัวบาง ๆ
ตามด้วยขมิ้นผสมปูนลงตามร่องเนื้อบาง ๆ แล้วผึ่งแดด พร้อมกับให้ข้าวเปลือก
และน้ำ (ให้กินตามสมควรหลังจากนั้นรีบเก็บทันที)
ปล่อยให้ไก่อาบแดดไปเรื่อยๆ เมื่อไก่มีอาการหอบก็นำไก่เข้าร่ม
อย่าให้กินน้ำจนกว่าจะหายจากอาการหอบ ถึงจะให้กินน้ำได้
(ถ้าไก่ผอมไม่ควรผึ่งแดดให้มากเพราะจะทำให้ผอมมากไปอีก
ถ้าอ้วนเกินไปต้องผึ่งแดดให้มากสักหน่อย
เพราะจะทำให้น้ำหนักลดลงได้เร็วขึ้น) ควรคุมน้ำหนักทุกครั้งที่มีการซ้อม
และการเลี้ยงทุกวันตอนเช้า<br />2. การอาบน้ำช่วงบ่าย<br />ก่อนอาบน้ำไก่ควร
เช็คสภาพร่างกายไก่ ว่ามีความสมบูรณ์ หรือมีอาการผิดปกติอย่างไร
แล้วเริ่มอาบน้ำไก่ในช่วงเวลาประมาณ 15.00 น. ทุกวัน
(ให้ปฏิบัติเฉพาะวันที่อากาศแจ่มใส หรือปรับเปลี่ยนได้ตามความสะดวก
และขึ้นอยู่กับจำนวนไก่ที่เลี้ยง)
ควรใช้ผ้าประคบหน้าทุกครั้งที่มีการอาบน้ำ
ทำการนวดเพื่อคลายกล้ามเนื้อโดยการเช็ดตามขน
,ร่องเนื้อและเป็นการล้างขมิ้นผสมปูนออกจากตัวไก่ แล้วผึ่งแดด
พร้อมกับให้ข้าวเปลือก และน้ำ (ให้กินตามสมควรหลังจากนั้นรีบเก็บทันที)
ปล่อยให้ไก่อาบแดดไปเรื่อยๆ เมื่อขนเริ่มแห้งก็ปล่อยไก่เดินบนสนามหญ้า<br /><br /><strong>หมายเหตุ</strong>
ควรทำการซ้อมไก่ หลังจากที่อาบน้ำได้ประมาณ 7 วัน
แล้วจึงเริ่มซ้อมครั้งแรกสัก 1-2 ยก ๆ ละประมาณ 15 นาที ซ้อมสัก 3 ครั้ง
เพื่อให้ไก่ได้ใจ และดุดัน ครั้งที่ 4 ซ้อม 2 ยกๆ ละ 20 นาที รวมแล้วให้ได้
6 – 8 ยก<br /><strong>***ระยะการปล้ำควรห่างกันประมาณ 2 สัปดาห์ ***</strong>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09284329454802728091noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7399262009816850879.post-89752950336749448252012-09-24T09:32:00.001-07:002012-09-24T09:32:27.449-07:00ไก่ชนเหล่าอีตุ้ม ประวัติและความเป็นมา : <span style="font-size: larger;"><u><strong><img alt="" src="http://www.kcbloodstock.com/images/sub_1264436351/IMG02685-20091224-1407%281%29.jpg" style="height: 283px; width: 317px;" /><img alt="" src="http://www.kcbloodstock.com/images/sub_1264436351/IMG02678-20091224-1328.jpg" style="height: 284px; width: 265px;" /></strong></u></span><br />
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-size: larger;">อีตุ้ม
เป็นไก่ชนออกสีเยียร์แดง มีประวัติความเป็นมาดังนี้ พ่อของอีตุ้มนั้น
เป็นไก่ชนสายพันธุ์ไซง่อน ประเภท ลีลา เบอร์แข้งใหญ่ มีลักษณะเชิงชนที่ดี
มีไอคิวสูง ไม่เหมือนกับไก่ไซง่อน อื่นๆ ทั่วไป
เหล่าพ่อดั้งเดิมเป็นสายพันธุ์ไซง่อนของ CP คือเจ้า481 และเหล่า เบอร์ 247
เชิงชนดีเป็นไซง่อนไอคิวสูง ต่อมาได้นำเข้ากับแม่พม่า 100
และได้ลูกทั้งสิ้น เป็นตัวผู้ อยู่ 5 ตัว อีตุ้มเป็นตัวสุดท้ายของครอก
พี่ๆที่ออกมาก่อนนั้น ชนะในสนามชนไก่ รวมกันหลายต่อหลายไฟท์
สำหรับตัวอีตุ้มเองนั้น ชนะในสนามชนไก่ทั้งสิ้น 5 ไฟท์ ด้วยกัน จากนั้น
จึงปลดระวางเป็นพ่อพันธุ์ ที่สำคัญอีตุ้ม
มีคุณสมบัติในการถ่ายทอดพันธุกรรมจาก รุ่นสู่รุ่น และลูกสู่หลาน
ได้อย่างดีเยี่ยม ดังจะเห็นได้จาก สีสรรค์ และเกล็ดแข้ง รวมทั้งลีลา
และเชิงชน ที่สำคัญนัมเบอร์แข้งนั้น ....
ทุกสิ่งที่กล่าวมาถ่ายสู่ลูกหลานได้เป็นอย่างดี จะสังเกตุเห็นได้ชัดว่า
ลูกของอีตุ้มนั้น จะออกมาในลักษณะสีเยียร์ ประมาณ 80-90% มีทั้งเยียร์ แดง ,
เทา, และ เขียว และเกล็ดแข้งจะมีกำไลแทบทั้งสิ้น ในแต่ละครอกจะมีประมาณ
40% ที่เป็นกำไลพันลำทั้งลำ นอกนั้น จะมีกำไลปะปนอยู่ด้วยแทบทุกตัว
อาจจะเป็นใต้เดือน ตรงเดือย เหนือเดือย หรือเป็นแบบกำไลฟ้าผ่า
ก็มีให้เห็นบ่อย แต่รับประกัน เบอร์แข้งหนักหน่วง ไก่ร้อง ไก่ดิ้น ไก่ชัก
แทบทั้งสิ้น</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-size: larger;">เดิมทีอี
ตุ้มเป็นของผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในจังหวัด ชลบุรี
กว่าจะได้อีตุ้มมาเข้าสังกัดนั้น ยากเย็นแสนเข็ญมาก มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง
เป็นผู้ไปเจรจาของซื้อมาให้ ใช้เงินไปจำนวน 170,000 บาท รวมทั้งนกเขาชวา
และนกกรงหัวจุกอีกจำนวนหนึ่ง ได้ไก่หนุ่มมาทั้งหมด ตัวผู้ 3 ตัว และตัวเมีย
3 ตัวด้วยกัน คือ อีตุ้ม, เพชรดำ และเจ้าบ่อทอง ส่วนตัวเมีย 3 ตัวนั้น
ปัจจุบันได้กระจัดกระจายหายไปแล้ว คาดว่าจะมีผู้หวังดีรับไปอุปการะเลี้ยงดู
..... ทั้ง 3 ตัวนั้น เป็นไก่ดีทั้ง 3 ตัว เลี้ยงชนชนะรวมกันทั้ง 3 ตัว
ได้17 ไฟท์ ต่อมาเจ้าบ่อทองไฟท์ที่ 4 โดนตีตาบอด
จึงปลดระวางทำพ่อพันธุ์เป็นอันดับแรก
แต่ให้ลูกออกมานำไปชนก็ตาบอดกลับมาทั้ง 2
ตัว เลยไม่ได้นำมาทำพ่อพันธุ์อีกเลย คงเหลือเจ้าเพชรดำ
และอีตุ้มที่ยังคงออกท้าชนเรื่อยไป ต่อมาได้ปลดระวางอีตุ้ม
และเจ้าเพชรดำเป็นพ่อไก่...ตามลำดับ</span></div>
<span style="font-size: larger;">ชื่อพ่อพันธุ์ : อีตุ้ม (ปัจจุบัน เสียชีวิตแล้วเมื่อปี 2553 อายุทั้งสิ้น 11 ปี)</span><br />
<span style="font-size: larger;">สี : เยียร์แดง ลายดอก</span><br />
<span style="font-size: larger;">สายพันธุ์ : พม่า+ง่อน</span><br />
<span style="font-size: larger;">เกล็ด : กำไลพันลำ ปัดตลอด แตกหน้าเดือย</span><br />
<span style="font-size: larger;">ลีลา เชิงชน : ขยับโยก ใต้คาง ถอยดีด ตีซอก ซ้าย-ขวา ตีคอ ตีกระเดือก (หัก ชัก ดิ้น).....เบอร์แข้งหนักมาก</span><br />
<span style="font-size: larger;">สถิติ : 5 ไฟท์ </span><br />
<br />
<u><strong><span style="font-size: larger;">ลูกๆที่กำลังทำเนื้อทำตัว
อยู่ในขณะนี้ แบ่งเป็นชุดๆ ชุดแรกตั้งชื่อ ว่าชุด " สามก๊ก"
มีด้วยกันหลายตัวแต่ที่เก็บไว้เพื่อทำสายพันธุ์ต่อนั้น เราตั้งชื่อรุ่น
หรือชุดว่า "สามก๊ก" มาทำความรู้จักกับพวกเค้าเลยครับ ชุดนี้มีทั้งหมด 14
ตัว ไปอยู่กับเจ้าของสนามชนไก่แถวสุขาภิบาล 3 เป็นสีแดง 2 ตัว,
อยู่กรุงเทพกรีฑา 1 ตัว และที่อื่นๆ</span></strong></u><br />
<br />
<table border="1" cellpadding="1" cellspacing="1" style="height: 395px; width: 625px;">
<tbody>
<tr>
<td>
<br />
<div style="text-align: center;">
ชื่อ / Name</div>
</td>
<td style="text-align: center;"> รายละเอียด / Description</td>
<td style="text-align: center;">หมายเหตุ / Remark</td>
</tr>
<tr>
<td>
<br />
<div style="text-align: center;">
<img alt="" src="http://www.kcbloodstock.com/images/sub_1264436351/IMG02925-20100108-0934.jpg" style="display: inline; height: 383px; width: 242px;" /></div>
<div style="text-align: center;">
กวนอู</div>
</td>
<td style="text-align: center;">
อายุ 11 เดือน เป็นลูกของอีตุ้ม ชุดแรกๆที่ออกมาสร้างชื่อเสียง สถิติ 4 ไฟท์ ตีไก่ตายมาแล้ว 3 ตัว ไฟท์แรกเสมอ<br />
สีออกเป็นสีเยียร์แดง รอย 3.0<br />
</td>
<td> </td>
</tr>
<tr>
<td>
<img alt="" src="http://www.kcbloodstock.com/images/sub_1264436351/IMG03080-20100121-0836.jpg" style="display: inline; height: 244px; width: 254px;" /><br />
<div style="text-align: center;">
เตียวหุย</div>
</td>
<td style="text-align: center;">
อายุ 11 เดือน เป็นไก่สีออกเทา (เยียร์เทา) มีลำหัก ลำชัก
ซ้อมปล้ำตีไก่หัก มาแล้วถึง 2 ตัว ระหว่างไล่อัน
ปัจจุบันกำลังเตรียมทำตัวต่อไป<br />
รอย 3.1<br />
</td>
<td> </td>
</tr>
<tr>
<td>
<img alt="" src="http://www.kcbloodstock.com/images/sub_1264436351/IMG03141-20100122-0935.jpg" style="display: inline; height: 335px; width: 248px;" /><br />
<div style="text-align: center;">
จูล่ง</div>
</td>
<td style="text-align: center;">
เป็นไก่เยียร์สีเขียว มีลำหัก ลำชัก อายุได้ 9 เดือน กำลังจับเลี้ยงทำเนื้อทำตัว ปล้ำซ้อมมา 3 อัน ไม่เคยเกิน 12 นาที....<br />
1. ครั้งแรกเจอกันเอง กับเจ้าขงเบ้ง ไก่เหล่าเดียวกัน
ตีหัก ตีชัก เป็นเหตุให้เราไม่นำไก่เหล่าอีตุ้มด้วยกันมา
ซ้อมกันเองอีกเลย...ยืนได้ประมาณ 17 นาที<br />
<u><span style="color: #810081;"><a href="http://www.youtube.com/watch?v=8tP-DHaP9Pk">http://www.youtube.com/watch?v=8tP-DHaP9Pk</a></span></u><br />
2. ครั้งที่ 2 ปล้ำกับไก่ เยียร์ด้วยกัน ตี กระเดือก ตีลำโต
ปล้ำได้ เพียง 7 นาที ตีคู่ต่อสู้หางบานทุกดอก มีหักทุกลำ
เจ้าของขอจับออกก่อนๆที่จะโดนหนัก<br />
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=lxlvQxEANFU">http://www.youtube.com/watch?v=lxlvQxEANFU</a><br />
3. ครั้งที่ 3 ปล้ำกับไก่พม่า ได้แค่ 8 นาทีกว่าๆ มีหัก
มีชัก คู่ต่อสู้ตั้งใจจะมาปราบเหล่าอีตุ้ม ผลปรากฏว่ากระโดดออกจากสังเวียน
หนีตายในนาทีที่ 8<br />
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=sY_exlRl84s">http://www.youtube.com/watch?v=sY_exlRl84s</a><br />
ปัจจุบันเจ้าจูล่ง เริ่มเลี้ยงทำตัวแล้ว รอย 3.0<br />
</td>
<td> </td>
</tr>
<tr>
<td>
<img alt="" src="http://www.kcbloodstock.com/images/sub_1264436351/IMG02730-20091225-1006.jpg" style="display: inline; height: 186px; width: 269px;" /><br />
<div style="text-align: center;">
เจ้าขงเบ้ง</div>
</td>
<td>
<div style="text-align: center;">
เป็นไก่เยียร์สีน้ำตาลเทา
อายุได้ 9 เดือน ปล้ำซ้อมมาแล้ว 1 ครั้ง พอดีโดนดึงขนหางหลุด
ตอนไล่จับเข้าสุ่ม เลยไม่ได้นำออกทำตัว ใช้เป็นพ่อไก่
คาดว่าหลังจากถ่ายแล้วขนหางขึ้นจะนำมาใช้ทำตัวต่อไป</div>
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=1opG_itc7-4">http://www.youtube.com/watch?v=1opG_itc7-4</a></div>
<div style="text-align: center;">
ปล้ำได้เพียง 5 นาทีกว่าๆ คู่ต่อสู้โดนลูกกระเดือก วิ่งออกทันที</div>
<div style="text-align: center;">
รอย 3.4</div>
</td>
<td> </td>
</tr>
<tr>
<td>
<img alt="" src="http://www.kcbloodstock.com/images/sub_1264436351/IMG03148-20100122-0938.jpg" style="display: inline; height: 303px; width: 256px;" /><br />
<div style="text-align: center;">
เจ้าเล่าปี่</div>
</td>
<td style="text-align: center;">
ปัจจุบันปล้ำซ้อมไปแล้ว 3-4 ครั้ง ตีไก่หัก ชัก ดิ้น มา 2 ตัว อายุเพิ่งจะได้ 10 เดือน เลยยังไม่ได้เคี่ยวเข็ญนัก<br />
รอย 3.0<br />
</td>
<td> </td>
</tr>
<tr>
<td>
<img alt="" src="http://www.kcbloodstock.com/images/sub_1264436351/IMG03084-20100121-0839.jpg" style="display: inline; height: 392px; width: 265px;" /><br />
<div style="text-align: center;">
โจโฉ</div>
</td>
<td style="text-align: center;">
อายุได้ 9 เดือนเศษ ปล้ำไล่แข็งมา 7-8 อัน แล้วเตรียมออกเร็วๆนี้ ตีไก่ ตาปิด บอดมาแล้ว มีหัก ชัก ดิ้น เห็นๆ<br />
<br />
รอย 2.8<br />
</td>
<td> </td>
</tr>
<tr>
<td>
<img alt="" src="http://www.kcbloodstock.com/images/sub_1264436351/IMG02941-20100109-0856.jpg" style="display: inline; height: 260px; width: 292px;" /><br />
<div style="text-align: center;">
ลิโป้</div>
</td>
<td>อายุได้ 10 เดือนเศษ เป็นไก่ตัวใหญ่ที่สุดในรุ่น
น้ำหนักอยู่ที่ 3.7 ยังไม่สามารถหาคู่ซ้อมได้ ลองเอาไก่ลูกอายุ
รอยใกล้เคียงกัน เตะดูปรากฏว่า ตีไก่ลูกอายุ หัก...ลมแบบไม่ต้องยืน
เบอร์แข้งหนักสุดๆ ปัจจุบันใช้เป็นพ่อพันธุ์ อยู่
คาดว่าลูกชุดแรกจะออกประมาณ กลางเดือน กุมภาพันธุ์ 2553</td>
<td> </td>
</tr>
<tr>
<td>
<img alt="" src="http://www.kcbloodstock.com/images/sub_1264436351/IMG02960-20100113-1124.jpg" style="display: inline; height: 262px; width: 293px;" /><br />
<div style="text-align: center;">
เตียวเสี้ยน</div>
</td>
<td>เป็นตัวเมีย อายุ ได้ 9 เดือนเศษ กำลังทดลองผสมกับพ่อไก่
ได้ไฟท์ มาแล้ว 4ไฟท์ ปัจจุบันถ่ายอยู่ เลยนำเข้าผสมพันธุ์ก่อน
คาดว่าลูกชุดแรกจะเกิด เดือน กุมภาพันธ์ 2553 เช่นกัน</td>
<td> </td>
</tr>
<tr>
<td> </td>
<td> </td>
<td> </td>
</tr>
</tbody>
</table>
<br />
<u><strong> ชุดลูกอีตุ้ม ชุดถัดไป เข้ากับเหล่าเพชรดำ ใช้ชื่อรุ่นว่า รุ่น " มังกรหยก" ชุดนี้มี 7 ตัว</strong></u><br />
<table border="1" cellpadding="1" cellspacing="1" style="height: 747px; width: 637px;">
<tbody>
<tr>
<td style="text-align: center;">Name / Picture</td>
<td style="text-align: center;">Description</td>
<td>Remark</td>
</tr>
<tr>
<td>
<img alt="" src="http://www.kcbloodstock.com/images/sub_1264436351/etum%20tao1.jpg" style="display: inline; height: 250px; width: 294px;" /><br />
<div style="text-align: center;">
ก้วยเจ๋ง</div>
</td>
<td style="text-align: center;">ตัวนี้ไปอยู่อุบล</td>
<td> </td>
</tr>
<tr>
<td>
<img alt="" src="http://www.kcbloodstock.com/images/sub_1264436351/IMG02798-20091228-0949.jpg" style="display: inline; height: 249px; width: 296px;" /><br />
<div style="text-align: center;">
มารบูรพา</div>
</td>
<td style="text-align: center;">ตัวนี้ส่งไปอยู่ที่ยะลา</td>
<td> </td>
</tr>
<tr>
<td>
<img alt="" src="http://www.kcbloodstock.com/images/sub_1264436351/IMG02759-20091226-1113.jpg" style="display: inline; height: 210px; width: 296px;" /><br />
<div style="text-align: center;">
ยาจกอุดร</div>
</td>
<td>ตัวนี้ไม่แน่ใจนะครับ แต่น่าจะกทม แถวพระราม 9</td>
<td> </td>
</tr>
<tr>
<td>
<img alt="" src="http://www.kcbloodstock.com/images/sub_1264436351/IMG02931-20100108-1112.jpg" style="display: inline; height: 398px; width: 295px;" /><br />
<div style="text-align: center;">
พิษประจิม</div>
</td>
<td style="text-align: center;">ตัวนี้ส่งไปโคราช</td>
<td> </td>
</tr>
<tr>
<td>
<img alt="" src="http://www.kcbloodstock.com/images/sub_1264436351/IMG03026-20100118-0735.jpg" style="display: inline; height: 261px; width: 295px;" /><br />
<br />
</td>
<td> </td>
<td style="text-align: center;"> เปิดจำหน่ายอยู่นะครับ</td>
</tr>
<tr>
<td><img alt="" src="http://www.kcbloodstock.com/images/sub_1264436351/IMG03027-20100118-0735.jpg" style="display: inline; height: 220px; width: 296px;" /></td>
<td> </td>
<td style="text-align: center;"> เปิดจำหน่ายอยู่นะครับ</td>
</tr>
<tr>
<td> </td>
<td> ตัวเมีย ชุดมังกรหยกนี้ ส่งไป ลพบุรี 1 ตัวครับ</td>
<td> </td>
</tr>
</tbody>
</table>
<br />
<u><strong>ชุดต่อไป ตั้งชื่อว่า ชุด " เพชรพระอุมา " เข้ากับแม่สายมณีแดง ร้อยเอ็ด และ แม่ง่อน(โยกเยก) ชุดนี้มี 7 ตัว</strong></u><br />
<table border="1" cellpadding="1" cellspacing="1" style="height: 78px; width: 634px;">
<tbody>
<tr>
<td style="text-align: center;">Name / Picture</td>
<td style="text-align: center;">Description</td>
<td style="text-align: center;">Remark</td>
</tr>
<tr>
<td>
<img alt="" src="http://www.kcbloodstock.com/images/sub_1264436351/IMG02707-20091225-0952.jpg" style="display: inline; height: 244px; width: 312px;" /><br />
<div style="text-align: center;">
รพินทร์ ไพรวัลย์</div>
</td>
<td>ชุดนี้สีออกเทา และดำ มีบางตัวติดสร้อยแดง มาด้วย</td>
<td style="text-align: center;"> <u>จำหน่ายไปแล้ว</u></td>
</tr>
<tr>
<td>
<img alt="" src="http://www.kcbloodstock.com/images/sub_1264436351/IMG03207-20100125-0905.jpg" style="display: inline; height: 438px; width: 320px;" /><br />
<div style="text-align: center;">
จามเทวี</div>
</td>
<td>ตัวนี้คาดว่าจะส่งไปอยุธยานะครับ</td>
<td> </td>
</tr>
<tr>
<td>
<img alt="" src="http://www.kcbloodstock.com/images/sub_1264436351/IMG02823-20091230-1311.jpg" style="display: inline; height: 404px; width: 323px;" /><br />
<div style="text-align: center;">
แม่แหม่ม</div>
</td>
<td> ไปอยู่สุรินทร์ นะครับ</td>
<td style="text-align: center;"> <u>จำหน่ายไปแล้ว</u></td>
</tr>
<tr>
<td>
<img alt="" src="http://www.kcbloodstock.com/images/sub_1264436351/IMG03064-20100120-0749.jpg" style="display: inline; height: 216px; width: 323px;" /><br />
<div style="text-align: center;">
แงซาย</div>
</td>
<td> สีออกสีเขียว นะครับ ทั้งตัว</td>
<td style="text-align: center;"> <u>เปิดจำหน่ายอยู่ครับ</u></td>
</tr>
<tr>
<td>
<img alt="" src="http://www.kcbloodstock.com/images/sub_1264436351/IMG03066-20100120-0749.jpg" style="display: inline; height: 253px; width: 327px;" /><br />
<div style="text-align: center;">
ตาเกิ่น</div>
</td>
<td> </td>
<td style="text-align: center;"><u>เปิดจำหน่ายอยู่ครับ</u></td>
</tr>
</tbody>
</table>
<br />
<br />
<span style="font-size: larger;"> ยังไงจะทยอยลงให้ชมทุกชุดนะครับ แต่ละชุดมีน้อยมากๆครับ....</span>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09284329454802728091noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7399262009816850879.post-1512392055661893002012-09-24T09:31:00.002-07:002012-09-24T09:31:22.170-07:00ไก่ที่ชนได้ทุก สไตล์<br />
<span style="font-size: small;"><b> <img height="335" id="il_fi" src="http://www.kcbloodstock.com/images/sub_1264436351/IMG02685-20091224-1407%281%29.jpg" style="padding-bottom: 8px; padding-right: 8px; padding-top: 8px;" width="400" /></b></span><br />
<br />
<span style="font-size: small;"><b>ไก่ที่ชนได้ทุก
สไตล์มีไหมเป็นอีกคำถามที่รอคำตอบจากหลายท่าน ...ในความเป็นจริงแทบไม่มีเลย
ไก่ที่สามารถชนได้ทุกสไตล์นั้นส่วนมากเป็นไก่ที่มีความสามารถพิเศษเฉพาะตัว
จะหาในสายเลือดใดเลือดหนึ่งคงพบยาก
แต่หลายท่านก็ได้แต่แสวงหา...ประสบการณ์กว่า 30
ปีในวงการสอนให้รู้ว่าไก่ที่สามารถชนได้ทุกสไตล์นั้นเป็นเพียงไก่บางตัวที่
มีลักษณะพิเศษเท่านั้น
เมื่อเวลาถ่ายทอดสายเลือดมันจะไม่สามารถถ่ายทอดลักษณะเด่นทั้งหมดอันเป็น
ลักษณะพิเศษของมันไปยังลูกหลานได้ทั้งหมด<br /><br />สรุปก็คือมันจะถ่ายทอดสาย
เลือดแบบขาด ๆ เกิน ๆ ในบางสิ่งบางอย่างเสมอ ดังนั้นเราจึงพบว่าไก่ เก่ง ๆ
จะมีมีลูกที่เก่งเหมือนตัวพ่อเลยสักตัว อย่างมากก็ใกล้เคียง <br /><br />แต่บาง
ตัวเมื่อผสมกับแม่สายเลือดถูกทางกันก็จะได้ความพิเศษที่เหนือกว่าตัว
พ่อ..คือเก่งกว่าพ่อ
แต่ลักษณะเด่นของพ่อที่มีทั้งหมดก็ไม่ปรากฎในรุ่นลูกทั้งหมดเช่นกัน<br /><br />ดัง
นั้นเราจึงพบว่าในการเลี้ยงชนจริง ๆ จะปรากฎในทุกเห่าทุกเชิงทุกปีไป
เพียงแต่ว่าไก่สไตล์ใดจะมีมากมีน้อยตามกระแสที่คนเลี้ยงเพาะพัฒนาขึ้นมาเท่า
นั้นเอง
อย่างคนเลี้ยงไก่จะพบว่าตอนนี้ป่าก๋อยก็มาแรงเพราะสามารถปะทะพม่าได้อย่าง
สนุก
ในขณะที่คนเลี้ยงไก่เชิงไทยก็พลอยดีใจเพราจะได้เลี้ยงไก่ไทยไปตีกับป่าก๋อย
ส่วนพวกเลี้ยงลูกผสมและพม่าก็หวังว่าจะมาตีกับไก่ไทยดังนี้เป็นต้น<br /><br />จึงสรุปว่าเก่งที่สุดไม่มีมีแต่งูกินหางกันเรื่อยไป</b></span><br />
<br />
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09284329454802728091noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7399262009816850879.post-18667883837003129482012-09-24T09:29:00.000-07:002012-09-24T09:29:02.114-07:00การส่งไก่ชนไทย ไปต่างประเทศ<h2 class="title">
การส่งไก่ชนไทย ไปต่างประเทศ</h2>
<h2 class="title">
<img height="509" id="il_fi" src="http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/413/20413/images/k17.jpg" style="padding-bottom: 8px; padding-right: 8px; padding-top: 8px;" width="349" /> </h2>
<div class="story">
การเลี้ยงไก่ชน สัตว์เศรษฐกิจที่มาแรงขณะนี้
นอกจากตลาดในประเทศแล้วยังมีตลาดต่างประเทศอีกด้วย
ตลาดต่างประเทศเป็นตลาดที่มีศักยภาพ
มีแนวโน้มที่เติบโตมาก จากสถิติตัวเลขของกรมปศุสัตว์
ระบุว่า ปี
ค.ศ.1999 มีการส่งไก่ชนไทยไปต่างประเทศตลอดทั้งปี รวม
3,628 ตัว(
คงไม่นับรวมที่เดินข้ามแถบชายแดน)
เป็นมูลค่าเท่าไรก็ต้องประมาณการเอาเอง
ประเทศที่ส่งไปนั้นจากรายงานของกรมปศุสัตว์เช่นกันแจ้งว่าเมื่อปี
1999 มีการส่งไก่ชนไทยไป อินโดนีเซีย ( 3,513 ตัว )
บรูไน ( 26
ตัว ) กัมพูชา ( 20 ตัว ) สหรัฐอเมริกา (6 ตัว ) ฯลฯ
ผู้ค้ารายใหญ่คงไม่มีปัญหาสำหรับการส่งออกหรือนำเข้า
แต่รายใหม่รายย่อยหรือผู้สนใจอยากส่งไก่ไปขายเมืองนอก
หรือสั่งไก่ชนจากต่างประเทศเข้ามาบ้างนั้นคงต้องศึกษาหาวิธีก่อน
เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ท่านผู้อ่านจึงขอนำระเบียบของกรมปศุสัตว์
เกี่ยวกับการส่งสัตว์ไปต่างประเทศ
และการนำเข้ามาเสนอให้ทราบกันเพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้สนใจ <br />
<h2>
การนำออกสิ่งมีชีวิต</h2>
</div>
<h2 class="title">
การดำเนินการล่วงหน้า</h2>
<div class="story">
ผู้ขออนุญาตนำสัตว์มีชีวิตไปยังประเทศใด
ให้ติดต่อกับประเทศนั้นเพื่อขอทราบเงื่อนไข
(Requirement) การนำสัตว์มีชีวิต เข้าประเทศนั้น
ผู้ขออนุญาตฯ
นำเงื่อนไข (Requirement)
ที่ได้รับมาขอคำแนะนำจากสัตวแพทย์ด่านกักกันสัตว์ระหว่างประเทศประจำท่าออก
ที่
จะนำสัตว์ออก
เพื่อเจ้าหน้าที่สัตว์แพทย์จะได้ดำเนินการตรวจสอบโรคสัตว์
ตรวจสอบฟาร์มเลี้ยงสัตว์และอื่น
ๆตามเงื่อนไขที่ประเทศปลายทาง
กำหนดให้ถูกต้องเรียบร้อยตามความประสงค์ของประเทศปลายทางนั้น
ผู้ขออนุญาตยื่นคำร้องขอนำสัตว์ออกนอกประเทศด้วยตนเอง
ไม่น้อยกว่า 15 วัน ก่อนนำออก
ตามแบบฟอร์มที่กรมปศุสัตว์กำหนด
ณ ด่านกักกันสัตว์ระหว่างประเทศประจำท่าออกนั้น
พร้อมสำเนาบัตรประจำตัว
หากไม่สามารถติดต่อด้วยตนเองได้
ให้ทำหนังสือมอบอำนาจพร้อม
แบบสำเนาบัตรประจำตัวของผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบมาด้วย
ในกรณีที่สัตว์จะนำออกได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาด
หรือได้รับการทดสอบโรคระบาดแล้ว
ให้ผู้ขออนุญาตนำหลักฐานการฉีด วัคซีน
หลักฐานการทดสอบโรค
มาแสดงประกอบขณะยื่นคำร้องต่อสัตวแพทย์ประจำด่านกักกันสัตว์
เพื่อพิจารณาอนุญาตนำออกราชอาณาจักรด้วย
ผู้ขออนุญาตนำสัตว์ออกนอกราชอาณาจักรเพื่อการค้า
ให้แนบสำเนาใบอนุญาตทำการค้าสัตว์ตามแบบฟอร์มของกรมปศุสัตว์ และแนบ
ใบแสดงราคาสัตว์มาด้วยทุกครั้ง
ผู้ขออนุญาตนำสัตว์ออกนอกราชอาราจักรต้องเขียนชื่ผู้ส่งออกและผู้รับปลายทาง
เป็นภาษาอังกฤษให้ถูกต้องตรงกับเอกสารต่าง
ๆ
โดยเฉพาะหนังสือเดินทางเพื่อเจ้าหน้าที่ใช้ประกอบในการพิจารณาออกใบรับรอง
สุขภาพสัตว์
<br />
</div>
<h2 class="title">
การดำเนินการช่วงนำออก</h2>
<div class="story">
เจ้าหน้าที่สัตวแพทย์จะออกหนังสือใบอนุญาตนำออกฯ (แบบ ร.9) และหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์
( Health Certificate) ฉบับภาษา อังกฤษให้ผู้ขออนุญาตนำสัตว์ออกนอกราชอาณาจักรทุกครั้ง
เพื่อให้ผู้ขออนุญาตนำไปแสดงต่อสัตวแพทย์ด่านกักกันสัตว์ (ท่าเข้า)
ของประเทศปลายทาง ผู้ขออนุญาตนำออกต้องติดต่อเจ้าหน้าที่สายการบิน
หรือเจ้าหน้าที่เรือสินค้า และเจ้าหน้าที่ศุลกากรด้วยตนเอง โดยนำเอกสารหนังสือใบ
อนุญาต (แบบ ร.9) ของกรมปศุสัตว์ไปแสดง ผู้นำสัตว์ออกนอกราชอาณาจักรต้องเสียค่าธรรมเนียมใบอนุญาตนำออกฯ
ตามที่กำหนดในกฎกระทรวงที่ออกตามความในพระราชบัญญัติ โรคระบาดสัตว์
พ.ศ.2499 <br />
<strong>ขั้นตอนการส่งสัตว์เลี้ยงออกนอกราชอาณาจักร</strong><br />
<ul>
<li>ยื่นคำร้องขอส่งสัตว์ออก (แบบ ร.1/1)</li>
<li>ตรวจสุขภาพสัตว์ก่อนการเดินทางไม่เกิน 2-3 วัน ด่าน ฯ </li>
<li>ออกใบอนุญาตส่งสัตว์ออก (แบบ ร.9) พร้อมเอกสารรับรองสุขภาพสัตว์
(HEALTH CERTIFICATE)</li>
</ul>
<strong>คำแนะนำ</strong>
ในการยื่นคำร้องขออนุญาตส่งสัตว์ออกนอกราชอาณาจักร ควรมีเอกสารประกอบดังนี้<br />
<ul>
<li>สำเนาพาสปอร์ตเจ้าของสัตว์ สำเนาบัตรประจำตัวผู้ดำเนินพิธีการส่งออก</li>
<li>สำเนาใบรับรองการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (RABIES VACCINATION
CERTIFICATE) </li>
</ul>
กรณีสุนัข แมว ส่งออก ถ้าเป็นนก หรือสัตว์ชนิดอื่น ต้องมีเอกสารรับรองการส่งออกจากกรมป่าไม้
หรือคำยินยอมให้ส่งออกได้จากเจ้าหน้าที่ด่านตรวจสัตว์ป่าท่าอากาศยานกรุงเทพฯ
และหรือมีเอกสาร CITES กำกับ <br />
</div>
<h2>
การนำเข้าสัตว์มีชีวิต</h2>
<h2 class="title">
การดำเนินการล่วงหน้า</h2>
<div class="story">
ติดต่อ สอบถาม
ขอคำแนะนำเบื้องต้นจากเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์
ด่านกักกันสัตว์ระหว่างประเทศประจำท่าเข้านั้น
เนื่องจากสัตว์นำเข้าต้องผ่านการกักตรวจจากสัตวแพทย์ด่านกักกันสัตว์ระหว่าง
ประเทศ
ณ คอกกักกันสัตว์ของด่าน
หากผู้นำเข้าประสงค์จะกักกันสัตว์ให้เจ้าหน้าที่สัตวแพทย์กรมปศุสัตว์ตรวจ
รับรองความเหมาะสมให้เรียบร้อยก่อน<br />
การยื่นคำร้องขออนุญาตนำเข้าฯ ผู้ขออนุญาตต้องดำเนินการล่วงหน้าไม่น้อยกว่า
15 วันและควรจะติดต่อด้วยตนเอง โดยยื่นคำร้องเป็นหนังสือตามแบบที่กรมปศุสัตว์กำหนด
พร้อมแนบสำเนาหลักฐานบัตรประจำตัวมาด้วยทุกครั้ง ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตไม่สามารถมาติดต่อด้วยตนเองได้
ให้มีหนังสือมอบอำนาจพร้อมสำเนาหลักฐานบัตรประจำตัว ผู้มอบอำนาจแนบมาด้วยทุกครั้ง <br />
กรมปศุสัตว์จะตรวจสอบสภาวะโรคของประเทศต้นทางจนมั่นใจว่าปลอดภัยจริง
จึงออกหนังสืออนุมัติในหลักการ อนุญาตนำสัตว์เข้าราชอาณาจักรฉบับภาษาอังกฤษ
(Import Permit) พร้อมกำหนดเงื่อนไข (Requirement) การนำเข้าของสัตว์นั้น<br />
ผู้ขออนุญาตเมื่อได้รับเอกสารหนังสืออนุมัติในหลักการอนุญาตนำเข้า
ฉบับภาษาอังกฤษ (Import Permit) ของกรมปศุสัตว์แล้วให้นำส่งไปยังประเทศต้นทางทันที
เพื่อประเทศต้นทางจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามเงื่อนไข (Requirement)
ที่กรมปศุสัตว์กำหนด (เงื่อนไขประกอบการนำสัตว์เข้าประเทศของกรมปศุสัตว์
จะปรับปรุงสม่ำเสมอ เพื่อให้เป็นปัจจุบัน และป้องกันมิให้โรคระบาดสัตว์
ทุกชนิดจากต่างประเทศเข้ามายังประเทศไทย) <br />
ผู้ขออนุญาตต้องแจ้งเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์
ณ
ด่านกักกันสัตว์ระหว่างประเทศประจำท่าเข้านั้นทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า
3 วัน
ก่อนสัตว์เดินทางมาถึงเพื่อสัตวแพทย์ควบคุมรถบรรทุกสัตว์ไปยังสถานกักกัน
สัตว์ที่กรมปศุสัตว์กำหนด
และออกเอกสารใบแจ้ง อนุมัตินำเข้า (ร.6)
ให้ผู้ขออนุญาตนำไปติดต่อ
ดำเนินการทางพิธีศุลกากรที่ด่านศุลกากรประจำท่าเข้านั้น
สัตว์ที่นำเข้าต้องมีเอกสารหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์
(Health Certificate) เป็นภาษาอังกฤษ
ออกให้โดยสัตวแพทย์รัฐบาลผู้มีอำนาจเต็มจากประเทศต้นทาง
ถ้าเอกสารรับรองเป็นภาษาอื่น ให้แปลเป็นภาษาอังกฤษ
และรับรองโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลประเทศต้นทาง
หรือเจ้าหน้าที่สถานฑูตประเทศต้นทาง ประจำประเทศไทย
หนังสือรับรองสุขภาพสัตว์ต้องตรงตามเงื่อนไขการนำเข้าที่กรมปศุสัตว์กำหนด
ทุกประการ
ถ้ามีหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์ไม่ตรงตาม
เงื่อนไขที่กรมปศุสัตว์กำหนด
สัตว์นั้นจะไม่อนุญาตให้นำเข้าประเทศไทย
สัตว์ที่นำเข้ามาทำพันธุ์
ต้องมีเอกสารหนังสือรับรองพันธุ์ประวัติ (Pedigree)
แนบมาด้วยทุกครั้ง <br />
ผู้นำเข้าต้องเตรียมสำเนาเอกสารแสดงราคาสัตว์ มอบให้เจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ทุกครั้งที่นำเข้าราชอาณาจักร
การดำเนินการช่วงนำเข้า ผู้นำสัตว์เข้าราชอาณาจักรที่มิใช่สัตว์พันธุ์
หรือเป็นสัตว์พันธุ์แต่ไม่มีหนังสือรับรองพันธุ์ประวัติสัตว์นำเข้าฯ
ประกอบมา ผู้นำเข้าต้องเสียค่าธรรมเนียมนำเข้าราชอาณาจักรที่กำหนดในกฏกระทรวงฯ
ที่ออกตามความในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 และแก้ไขเพิ่มเติม
พ.ศ. 2542 เมื่อเจ้าหน้าที่สัตว์แพทย์ตรวจสอบเอกสารครบถ้วนแล้ว
จะแจ้งให้ผู้ขออนุญาตนำเข้า นำสัตว์ไปกักตรวจ ณ สถานกักกันสัตว์ที่กำหนด <br />
การดำเนินการหลังการนำเข้า สัตว์จะถูกนำไปกักกันดูอาการ ณ สถานกักกันสัตว์ที่กรมปศุสัตว์กำหนด
ในระยะเวลาที่นักวิชาการสัตวแพทย์จะพิจารณา เพื่อให้นักวิชาการสัตวแพทย์
เก็บตัวอย่างต่าง ๆ จากสัตว์ไปตรวจทางห้องปฏิบัติการว่าปลอดโรค
และผ่านพ้นระยะเวลาการกักกันแล้ว จึงจะอนุญาตเคลื่อนย้าย ออกจากสถานกักกันสัตว์ได้
โดยเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์จะออกใบอนุญาตนำเข้า (ร. 7) มอบให้ผู้นำเข้าไว้เป็นหลักฐาน
ในกรณีสัตว์ป่วย สัตว์ตาย ขณะเดินทางมาถึง หรือระหว่างกักกันดูอาการ
ณ สถานกักกันสัตว์ เจ้าของสัตว์ต้องรีบแจ้งเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์
กรมปศุสัตว์ทันที เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้ดำเนินการช่วยเหลือ ให้คำแนะนำและ
เก็บตัวอย่างส่งห้องปฏิบัติการ เพื่อชันสูตรโรคต่อไป <br />
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09284329454802728091noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7399262009816850879.post-89952071763125207342012-09-24T05:00:00.004-07:002012-09-24T05:00:50.299-07:00ชีวิตที่ต้องชน <b><span style="font-size: small;"> <span class="style17">เมื่อการชนไก่กลายสภาพจากกีฬาพื้นบ้านสู่ธุรกิจที่
ให้ผลตอบแทนงาม จนทำให้สังเวียนไก่ชนเป็นมากกว่าสนามกีฬา
นักสู้ติดปีกผู้ไม่อาจเลือกทางเดินสายอื่นคงไม่เคยรู้ว่า
เลือดเนื้อที่มันต้องสังเวยจะถูกแปรเปลี่ยนเป็นผลประโยชน์ที่ตกอยู่ในมือใคร
</span></span></b><br />
<br />
<span style="font-size: small;"> <img height="370" src="http://www.ngthai.com/0507/images/feature_thai0507.jpg" width="493" /></span><br />
<br />
<span style="font-size: small;">
แม้จะไม่มีใครสามารถระบุช่วงเวลาที่แน่ชัดของต้นกำเนิดไก่ชนในประเทศไทยได้
แต่หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่บรรดาผู้ศึกษาตำนานไก่ชนมักนำมากล่าวอ้างอยู่
เสมอ
คือภาพจิตรกรรมฝาผนังแสดงการเล่นชนไก่ของพระนเรศวรกับพระมหาอุปราชาที่เมือง
หงสาวดี ฝีมือพระยาอนุศาสตร์จิตรกร (จัน จิตรกร) ภายในวิหารวัดสุวรรณดาราม
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีคำบรรยายว่า "พระนเรศวรเมื่ออยู่หงสาวดี
เล่นพนันไก่กับมังสามเกลียด มังสามเกลียดก็ว่าไก่เชลยเก่ง
พระนเรศวรตรัสตอบว่า ไก่เชลยตัวนี้จะพนันเอาเมืองกัน
ต่างองค์ต่างไม่พอใจในคำตรัส พ.ศ. 2121 พระชันษา 23 ปี" <br />
หากอ้างอิงตามข้อความดังกล่าวก็แสดงว่าคนไทยเลี้ยงและตีไก่ชนมาไม่น้อยกว่า
400 ปี
ขณะที่ผู้รู้บางท่านเชื่อว่าน่าจะสืบย้อนไปได้ถึงสมัยสุโขทัยหรือศรีวิชัย
เลยทีเดียว
ส่วนประวัติศาสตร์ของชนชาติอื่นนั้นสามารถย้อนกลับไปถึงสมัยก่อนคริสตกาล
ซึ่งถือว่าไก่ชนเป็นส้ตว์ที่ควรเคารพนับถือ บันทึกของดีโอโดรัส ซีคูลัส
นักประวัติศาสตร์ชาวกรีก ระบุว่า ชาวซีเรียโบราณบูชาไก่ชนเยี่ยงเทพเจ้า
ขณะที่ชาวกรีกและโรมันเชื่อมโยงไก่ชนกับเทพอพอลโล เมอร์คิวรีและมาร์ส <br />
ทว่าหน้าประวัติศาสตร์กลับไม่เคยบันทึกถึงจุดเริ่มต้นในการนำไก่มาชนกันเป็น
เกมกีฬา ได้แต่ประมาณว่าเมื่อ 3,000 ปีล่วงมาแล้ว
ในสมัยฟีนิเชียน ฮิบรูและคานาไนตส์
การชนไก่ไม่เพียงเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง
แต่การเลี้ยงไก่เพื่อลงชิงชัยในสังเวียนยังถือเป็นศิลปะประเภทหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมีการค้าขายไก่ชนอีกด้วย ล่วงมาถึงยุคคริสตกาล จูเลียส ซีซาร์
ทรงชักนำให้ชาวโรมันสนุกสนานกับกีฬาชนไก่และยังนำเข้าไปเผยแพร่ในเกาะอังกฤษ
รวมทั้งประเทศในภาคพื้นยุโรปอย่างสเปน และฝรั่งเศสด้วย<br />
"พวกเอ็งมีอะไรดีนักหนาหรือ จึงพาให้ผู้คนหลงใหลได้ถึงเพียงนี้"
ผมตั้งคำถามกับเจ้าสัตว์ปีกนักสู้ผู้ทระนง
ที่กำลังยืนยืดอกโก่งคอคล้ายกำลังส่งเสียงขันกังวาลบนปกหน้านิตยสารไก่ชน
เล่มหนึ่ง หลังจากพลิกผ่านตา ผมก็ต้องประหลาดใจ
เพราะบทความและโฆษณาในเล่มล้วนบ่งบอกความเป็นธุรกิจของวงการไก่ชนมากกว่าที่
จะเป็นกิจกรรมเล็กๆ ในชุมชนห่างไกลความเจริญเช่นในอดีต
หน้าโฆษณาสี่สีเกือบทั้งหมดเป็นการเสนอขายลูกไก่ชนสายพันธุ์แชมป์
ทั้งไทยแท้ ลูกผสมพม่า ลูกผสมเวียดนาม (ไซ่ง่อน) ของฟาร์มทั่วประเทศ
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความชำนาญของแต่ละแห่ง<br /> "เอก อิ๊ เอ้ก เอ้ก"
เจ้าโต้งแข่งกันแผดเสียงขันก้องกังวาลอย่างที่คนเมื่องรุ่นใหม่อาจไม่เคยได้
ยินออกมาจากสุ่มที่วางเรียงรายหลายสิบลูกบนผืนพรม
เสียงที่แว่วมาไม่ขาดสายตั้งแต่ผมขับรถเข้าใกล้โชคบัญชาฟาร์ม จังหวัดนครปฐม
ช่วยทำให้ผมมั่นใจว่าคงไม่ต้องกลับรถอีกเป็นรอบที่สาม<br />
รถขับเคลื่อนสี่ล้อค่อยๆเคลื่อนผ่านแอ่งน้ำยาฆ่าเชื้อเพื่อป้องกันการแพร่
ระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดนกตามมาตรการที่อาจเล็ดรอดเข้ามา
ตามมาตรการที่เข้มงวดจนลูกค้าออกปากเหน็บแนมว่า
"ยากยิ่งกว่าไปร้านทองเสียอีก" เมื่อรถผ่านน้ำยาเข้ามาแล้ว
ยังต้องพ่นยาฆ่าเชื้อที่คน
ซึ่งต้องสวมรองเท้าบูตและล้างมือให้สะอาดก่อนจะจับไก่
ในช่วงที่มีการระบาดของโรค นอกจากฉีดยาในฟาร์มทั้งเช้าและเย็นแล้ว
ยังห้ามนำรถเข้ามาในฟาร์มเด็ดขาดด้วย "ความสะอาดคือสิ่งสำคัญครับ" บัญชา
ปัญญาวานิชกุล เจ้าของฟาร์มและเกษตรกรดีเด่น สาขาเลี้ยงสัตว์ (ไก่ชน)
ประจำปี 2546 ให้เหตุผล <br />
สำหรับความเสียหายของเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ชนจากการระบาดของเชื้อไข้หวัดนก
นั้น นายสัตวแพทย์ ชัย วัชรงค์ อุปนายกสมาคมส่งเสริมอาชีพไก่ชนไทย
บอกผมด้วยคำพูดสั้นๆคำเดียว แต่สีหน้าบ่งบอกความรู้สึกอย่างชัดเจนว่า
"รุนแรง" เขาจำแนกปัญหาออกเป็น 3 กรณีว่า
การไม่อนุญาตให้ใช้วัคซีนป้องกันโรคทำให้ไก่พื้นเมืองและไก่ชนล้มตายไปไม่
น้อยกว่า 20 ล้านตัว
การห้ามทำกิจกรรมชนไก่ส่งผลต่อชาวบ้านที่เพาะเลี้ยงไก่ชน
เพราะไม่รู้จะเอาไปไก่ไปทำอะไร
และการห้ามการเคลื่อนย้ายส่งทำให้กิจกรรมการชนไก่ซบเซา</span>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09284329454802728091noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7399262009816850879.post-63937640372263477352012-09-24T04:58:00.002-07:002012-09-24T04:58:56.653-07:00ไก่ชนเหลืองหางขาว<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><b><span style="font-family: MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif;">ไก่ชนเหลืองหางขาว</span></b></span>
<div align="center">
<span style="font-family: MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif;"><img alt="ไก่ชน" height="317" name="TypicalCock" src="http://www.phitsanulok-guide.com/Index_grouppicture/TypicalCock.jpg" width="288" /></span></div>
<span style="font-family: MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif;">เป็นไก่ชนพื้นเมืองทางภาคเหนือของประเทศไทย
โดยเฉพาะที่บ้านกร่าง จังหวัดพิษณุโลก ในสมัยอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงใช้ไก่ชนนี้เพื่อชนกับ
ไก่ชนของพม่าและพระองค์ทรงเป็นฝ่ายชนะ ปัจจุบันไก่ชนนี้ไม่ได้เป็นเพียงที่รู้จักในประเทศไทย
เท่านั้น ยังมีเป็นที่รู้จักในพม่าด้วย</span><br />
<br />Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09284329454802728091noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7399262009816850879.post-16822366063560564732012-07-20T23:41:00.002-07:002012-07-20T23:41:54.509-07:00การเล่นกีฬาชนไก่<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" id="table7" style="width: 50px;"><tbody>
<tr><td align="center" bgcolor="#C0C0C0" valign="top"><div align="center">
<table border="0" cellpadding="10" cellspacing="1" height="100%" id="table8"><tbody>
<tr><td align="center" bgcolor="#FFFFFF" valign="top"><div style="text-align: center;">
<br /></div>
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" id="table9"><tbody>
<tr><td align="center" bgcolor="#C0C0C0" valign="top"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="1" id="table10"><tbody>
<tr><td bgcolor="#FFFFFF" style="text-align: center;"><img border="0" src="http://misterfriendship.com/th/site/newspic/8612.jpg" /></td>
</tr>
</tbody></table>
</td>
</tr>
</tbody></table>
</td>
</tr>
</tbody></table>
</div>
</td>
</tr>
<tr>
<td height="22" width="22"> </td>
</tr>
</tbody></table>
<span lang="en-us">การเล่นกีฬาชนไก่<br />
การ เล่นกีฬาไก่ชนเป็น การละเล่นพื้นบ้านมายาวนานพร้อม ๆ
กับการกำเนิดสังคมมนุษย์
แต่สำหรับสังคมไทยเท่าที่ศึกษาประวัติศาสตร์การเล่นไก่ชนพบว่ามีมาก่อนสมัย
สุโขทัย เพราะพบมีภาพวาดภาพจารึกในชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ในภูมิภาคนี้
หลักฐานชัดเจนปรากฎในชุมชนขอมที่มีการจารึกภาพบนแผ่นหินแสดงการชนไก่ในงาน
ประเพณีต่าง ๆ ดังนั้นจึงกล่าวว่าการชนไก่เป็นการละเล่นที่มีมาอย่างยาวนาน<br />
<br />
การ เล่นไก่ชนเป็นสิ่งล่อแหลมในมุมมมองของนักวิชาการหลายกลุ่ม
ถ้าเป็นพวกนักกฎหมายนักปกครองก็จะมองว่าเป็นการพนันที่ผิกฎมาย
ถ้าเป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมก็จะมองว่าเป็นการทรมานสัตว์
ถ้าเป็นนนักมานุษยวิทยานักสังคมวิทยาก็จะมองว่าเป็นวิถีชีวิตชุมชน
ในสังคมปัจจุบันเป็นยุคที่มนุษย์มีจำนวนมากกฎเกณฑ์การควบคุมพฤติกรรมมนุษย์
จะใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือหลักในการควบคุม
ดังนั้นการละเล่นไก่ชนจึงถูกควบคุมโดยกฎหมายด้วยเพื่อจัดระเบียบการเล่นไก่
ชน<br />
<br />
พฤติกรรมการละเล่นของมนุษย์มีความผูกพันกับการเล่นการพนันทุกยุค ทุกสมัย
การเล่นไก่ชนก็เช่นเดียวกันจากการชนเพื่อความสนุกสนานก็มีการพนันเกิดขึ้น
ซึ่งก็เหมือนกีฬาประเภทอื่น ๆ ที่เมื่อมีการแข่งขันการพนันก็เกิดขึ้น
คนรวยมักจะมีการเล่นการพนันตามแบบตะวันตกเพราะรับวัฒนธรรมมาจากตะวันตก
เช่นการเล่นกอล์ฟ การเล่นสนุกเกอร์ รวมทั้งการพนันในรูปแบบอื่น ๆ
จนสามารถเปิดเป็นบ่อนคาสิโนได้
ส่วนชาวบ้านก็เล่นการพนันตามแบบชาวบ้านเช่นการชนไก่ การกัดปลา เป็นต้น<br />
<br />
สรุป ได้ว่าการละเล่นกับการพนันมีความเกี่ยวข้องกันเสมอมาไม่อาจจะแยกได้
บางทีวันที่ภรรยาคลอดลูกมันยังเสียพนันไปหลายบาทเพราะลุ้นว่าจะเป็นหญิงเป็น
ชาย ในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาไปตามสถานที่ต่าง ๆ ทั้งบ้านนอกคอกนา
ตามสถานที่พักผ่อนทั่วไปก็เห็นเล่นการพนันกันทั่วเมืองซึ่งเป็นการเล่นเพื่อ
พักผ่อนให้มีความพอประมาณพอดีไม่เดือดร้อน<br />
<br />
เมื่อการพนันเป็นส่วน หนึ่งของวิถีชีวิตคนเล่นจึงต้องฉลาดเล่น
เล่นอย่างมีความพอประมาณมีกฎกติกาในการเล่นที่ชัดเจน
ขีวิตก็จะไม่เดือดร้อนเงินพนันเป็นเงินร้อนเดี๋ยวไปเด๊ยวมา. . . เป็นที่น่า
สังเกตว่าคนเล่นพนันมือเติบมักจะเป็นคนรวบ
เพราะคนรวยมีนิสัยพื้นฐานเป็นคนชอบเสี่ยง กล้าคิดกล้าทำกล้าลงทุน
อย่างการชนไก่ส่วนมากคนรวยจะเป็นเจ้าของซุ้มเจ้าของค่ายไก่ชน
ส่วนคนจนเป็นคนเลี้ยงไก่รับจ้าง
พอมีงานทำมีอาชีพหรือได้ขายไก่ชนเวลาไก่ออกชนก็ได้ค่าเลี้ยงค่าดูแลไก่
เป็นต้น<br />
<br />
ดังนั้นการส่งเสริมกีฬาไก่ชนจึงเป็นการส่งเสริมให้ชาวบ้านมี
ช่องทางในการทำงานและการขายไก่
เป็นการส่งเสริมการอนุรักษ์ไก่พื้นเมืองโดยแท้
หากไม่มีกีฬาไก่ชนก็สามารถบอกได้เลยว่าไม่เกิน 10
ปีไก่พื้นเมืองจะถูกทอดทิ้งและล้มหายตายจากไปโดยไม่มีมรดกทางด้านพันธุกรรม
ไว้ให้ลูกหลานพัฒนาต่อไปอย่างแน่นอน
. . . เมื่อถึงวันนั้นไก่ในทุกประเทศจะกลายเป็นไก่เนื้อจากโรงงานทั้งหมด
คนที่คิดจะพัฒนาต่อยอดทางพันธุกรรมเพื่อผลประโยชน์อื่นๆ ก็จะไม่มี
ไก่สามสายสี่สายที่มีเนื้อแน่น ๆ รสชาดดี ๆ มีคอเรสเตอรอลต่ำ ๆ
ก็จะไม่มีบริโภคเพราะเราจะบริภาคไก่เนื้อแบบGMO
กันทั้งหมด. . . เมื่อถึงวันนั้นเราจะคิดถึงไก่ชน</span>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09284329454802728091noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7399262009816850879.post-81156599582333195872011-08-28T17:24:00.001-07:002011-08-28T17:24:35.836-07:00การให้วัคซีนสำหรับไก่<h2 class="title">การให้วัคซีนสำหรับไก่</h2><div class="story"> <img alt="วัคซีน สำหรับไก่" height="320" src="http://www.gaichon.com/img/burma2.jpg" width="300" /> การเลี้ยงไก่ในบ้านเราจะไม่ให้ยุงกัดเลยย่อมทำไม่ได้ เพราะเป็นเมืองร้อนยุงมากจึงทำให้เป็นโรคฝีดาษอยู่กว้างขวางแห่งที่มีการเลี้ยงไก่ ดังนั้นการป้องกันโรคฝีดาษจึงจำเป็นเหลือเกินที่จะต้องอาศัยวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษของกรมปศุสัตว์ วัคซีนชนิดนี้ให้ผลดีมากในการป้องกันโรคฝีดาษ การให้วัคซีนต้องให้เสียตอนที่ลูกไก่อายุได้ 7 วัน วัคซีนนี้ให้ครั้งเดียวก็พอ ไม่ต้องให้ซ้ำอีกเพราะไก่ที่โตเต็มที่แล้วจะต้านทานโรคนี้ได้ดี หลังจากให้วัคซีนลูกไก่แล้วควรป้องกันไม่ให้ยุงกัดเด็ดขาด โรคหลอดลมอักเสบติดต่อ เนื่องจากยังไม่มียารักษาโรคหลอดลมอักเสบติดต่อได้ผลจริง ๆ การป้องกันที่ดีหรือให้ได้ผลดีจริง ๆ ต้องใช้วัคซีนป้องกันโรคนี้ของกรมปศุสัตว์ หยอดจมูกให้ลูกไก่หลังจากอายุ 15 วันไปแล้ว ให้หยอดตัวละ 2 หยด และควรหยอดวัคซีนซ้ำอีกครั้งหนึ่งเมื่อลูกไก่อายุได้ 4 - 5 เดือน <br />
การใช้วัคซีนป้องกันโรคนิวคาสเซิลที่ถูกต้องควรทำดังนี้ <br />
<ol><li>เมื่อลูกไก่อายุ 2 - 5 วันให้หยอดจมูกลูกไก่ด้วยวัคซีน สเตรนเอฟ ตัวละ 1 หยด</li>
<li>พอลูกไก่ได้ 3 อาทิตย์เต็ม ควรให้วัคซีนสเตรนเอฟหยอดซ้ำอีกตัวละ 2 หยด </li>
<li>พอลูกไก่ได้ 8 อาทิตย์ ควรใช้วัคซีนเอมพีสเตรน แทงที่ผนังปีก จะคุ้มโรคได้ 1 ปี </li>
</ol></div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09284329454802728091noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7399262009816850879.post-56615983791614644042011-08-28T17:23:00.001-07:002011-08-28T17:23:57.249-07:00โรคไก่และการป้องกัน<h2 class="title">โรคไก่และการป้องกัน</h2><div class="story"> <img alt="โรคระบาดไก่" height="208" src="http://www.gaichon.com/img/udom02.gif" width="212" /> ในการเลี้ยงไก่ให้ประสบผลสำเร็จนั้น ต้องเลี้ยงไก่ให้มีสุขภาพดี สมบูรณ์ แข็งแรง จึงจะให้ผลผลิตสูง ดังนั้นเราต้องรู้จักโรคและการป้องกันโดยถือหลักว่า "กันไว้ดีกว่าแก้" โดยทั่วไปแล้วโรคที่มักจะทำความเสียหายให้กับการเลี้ยงไก่ ได้แก่<br />
<ul><li><strong><a href="http://www.gaichon.com/newcastle.html">โรคนิวคาสเซิล</a></strong> เป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรงที่สุดของไก่ในประเทศไทย เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง การแพร่ะระบาดเป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยการหายใจเอาเชื้อ หรือกินน้ำ อาหารที่มีเชื้อปนเข้าไป จากอุจจาระ น้ำมูก น้ำลาย และสิ่งขับถ่ายอื่นๆ ของไก่ป่วย ไก่ที่ป่วยจะมีอาการทางระบบหายใจและระบบประสาท เช่น หายใจลำบาก มีเสียงดังเวลาหายใจ มีน้ำมูกไหล หัวสั่น กระตุก ขาและปีกเป็นอัมพาต คอบิด เดินเป็นวงกลม หัวซุกใต้ปีก สำหรับแม่ไก่ที่กำลังให้ไข่จะไข่ลดลงทันที่ และมักจะตายภายใน 3-4 วัน หลังจากแสดงอาการป่วย<br />
<strong>การป้องกัน</strong> โดยการทำวัคซีนลาโซตาเชื้อเป็น และลาโซตาเชื้อตาย ดูวิธีการใช้จากตารางการทำวัคซีนท้ายเล่ม</li>
<li><strong>โรคหลอดลมอักเสบติดต่อ</strong> เป็นโรคทางเดินหายใจที่แพร่หลายที่สุด เกิดจากเชื้อไวรัส สามารถเกิดขึ้นได้กับไก่ทุกอายุ แต่มักจะมีความรุนแรงในลูกไก่ มีอัตราการตายสูงมาก ไก่ที่เป็นโรคนี้จะมีอาการ อ้าปากและโก่งคอเวลาหายใจ หายใจลำบาก เวลาหายใจมีเสียงครืดคราดในลำคอ ไอ น้ำมูกไหล ตาแฉะ เซื่องซึม เบื่ออาหาร ในไก่จะไข่ลดลงอย่างกะทันหัน<br />
<strong>การป้องกัน</strong> โดยการทำวัคซีนป้องกันโรคหลอดลมอักเสบ</li>
<li><strong>โรคอหิวาต์ไก่</strong> เป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรงชนิดหนึ่ง เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เข้าสู่ร่างกายทางอาหารและน้ำ ไก่ที่เป็นโรคนี้จะมีอาการหงอย ซึม เบื่ออาหาร กระหายน้ำจัด ท้องร่วง อุจจาระมีสีเหลือง เหนียงมีสีคล้ำกว่าปกติ ถ้าไก่เป็นโรคนี้อย่างร้ายแรง ไก่อาจตายโดยไม่แสดงอาการป่วยให้เห็น<br />
<strong>การรักษา</strong> ใช้ยาปฏิชีวนะ คลอเตตร้าซัยคลิน หรือออกซีเตตร้าซัยคลิน หรือใช้ยาประเภทซัลฟา เช่น ซัลฟาเมอราซีน หรือซัลฟาเมทธารีน<br />
<strong>การป้องกัน</strong> โดยการให้วัคซีนป้องกันโรคอหิวาต์</li>
<li><strong>โรคฝีดาษไก่</strong> เป็นโรคที่มักเป็นกับลูกไก่และไก่รุ่น ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสติดต่อกันโดยการสัมผัส เช่น อยู่รวมฝูงกัน และยุงเป็นพาหะของโรคกัด โรคนี้ไม่แสดงอาการป่วยถึงตาย ไก่ที่เป็นโรคนี้จะแสดงอาการมีจุดสีเทาพองตามบริเวณใบหน้า หงอน เหนียง และผิวหนัง และเมื่อจุดพองขยายตัวและแตกออกเป็นสะเก็ดลูกไก่จะหงอยซึม ไม่กินอาหารและตายในที่สุด<br />
<strong>การป้องกัน</strong> โดยการทำวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษไก่</li>
<li><strong>โรคหวัดติดต่อหรือหวัดหน้าบวม</strong> เป็นโรคทางเดินหายใจมักเกิดกับไก่รุ่นและไก่ใหญ่ ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ปะปนอยู่ในเสมหะ น้ำมูก และน้ำตาของไก่ป่วย ไก่ที่เป็นโรคนี้จะแสดงอาการอย่างรวดเร็ว โดยมีอาการจาม มีน้ำตา น้ำมูกอยู่ในช่องจมูกและเปียกเปรอะถึงปาก และมีกลิ่นเหม็น เมื่อเป็นรุนแรง ตาจะแฉะจนปิด หน้าบวม เหนียงบวม ไก่กินอาหารน้อยลง ไก่ที่กำลังให้ไข่จะไข่ลด<br />
<strong>การรักษา</strong> โดยใช้ยาพวกซัลฟา ได้แก่ ซัลฟาไธอาโซล ซัลฟาไดเมท๊อกซิน ส่วนยาปฏิชีวนะ ได้แก่ ออกซี่เตตร้าซัยคลิน อิริโธมัยซิน และสเตรปโตมัยซิน<br />
<strong>การป้องกัน</strong> การจัดการสุขาภิบาล และการเลี้ยงดูที่ดี การถ่ายเทอากาศในโรงเรือนที่ดี และการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหวัดหน้าบวม</li>
<li><strong>โรคกล่องเสียงอักเสบติดต่อ</strong> <br />
เป็นโรค ทางเดินหายใจ มักเป็นกับไก่ใหญ่ อายุ 3-4 เดือนขึ้นไป ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส ไก่ที่เป็นโรคนี้จะแสดงอาการหายใจไม่สะดวก ยื่นคอและศีรษะตรงไปข้างหน้า อ้าปากเป็นระยะๆ และหลับตา ไก่จะตายเพราะหายใจไม่ออก<br />
<strong>การป้องกัน</strong> การจัดการสุขาภิบาลที่ดี และป้องกันไม่ให้ลมโกรก และการให้วัคซีนป้องกันโรคกล่องเสียงอักเสบติดต่อ</li>
<li><strong>โรคมาเร็กซ์</strong> เป็นโรคที่มักเป็นกับไก่รุ่น ไก่สาว ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส ที่สะสมอยู่ที่หนังไก่บริเวณโคนขนของไก่ป่วยเป็นแผ่นเล็กๆ คล้ายขี้รังแค ไก่ที่เป็นโรคนี้จะแสดงอาการหงอยซึม การเจริญเติบโตไม่ได้ขนาด ในกรณีที่เป็นอัมพาต ไก่จะอ่อนเพลีย กินน้ำกินอาหารไม่ได้ การทรงตัวไม่ปกติ เดินขาลาก แล้วเป็นอัมพาตเดินไม่ได้<br />
<strong>การป้องกัน</strong> การสุขาภิบาล และการเลี้ยงดูที่ดีไม่ให้ไก่เครียด และการให้วัคซีนป้องกันโรคมาเร็กซ์ </li>
ข้อปฏิบัติ 10 ข้อในการควบคุม-ป้องกันโรคระบาดไก่
<ol><li>หยอดหรือฉีดวัคซีน หรือแทงปีก เป็นประจำตามโปรแกรมการให้วัคซีน </li>
<li>คอก เล้า หรือโรงเรือนเลี้ยงไก่ ตั้งอยู่บริเวณที่ดี มีลักษณะและขนาดเหมาะสมกับจำนวนไก่ สามารถป้องกันสัตว์พาหะนำโรค เช่น นกกระจอก นกพิราบ อีกา สัตว์ปีกชนิดอื่นๆ หนู สุนัข แมว และสัตว์ชนิดอื่นๆ </li>
<li>ให้น้ำสะอาด โดยเปลี่ยนน้ำให้ไก่กินอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ทำความสะอาดรางน้ำ รางอาหาร และภาชนะใส่อาหารเสมอๆ </li>
<li>ทำความสะอาดคอก เล้า หรือโรงเรือนเป็นประจำ รวมทั้งบริเวณล้อมรอบ อย่าให้มีแอ่งน้ำสกปรก ต้องมีน้ำยาฆ่าเชื้อโรคสำหรับจุ่มเท้าก่อนเข้า </li>
<li>ป้องกันเชื้อโรคจากภายนอก เช่น ไม่นำไก่จากแหล่งที่เป็นโรค หรือสงสัยว่าเป็นโรค หรือไม่ทราบแหล่ง เข้ามาในฟาร์มและรวมในฝูงทันที </li>
<li>ถ้าจะนำไก่จากแหล่งภายนอกมาเลี้ยง ต้องขังไก่แยกกักกันโรคไว้อย่างน้อย 15 วัน เพื่อดูอาการให้แน่ใจก่อนว่าไก่ไม่เป็นโรคแน่นอนจึงนำเข้ามาเลี้ยงรวมฝูงได้ </li>
<li>ไก่ป่วยต้องแยกออกจากฝูงแล้วทำการรักษาโรคทันที ถ้ารักษาไม่ได้ผลต้องคัดออกทิ้งและทำลาย เพื่อป้องกันการแพร่โรคในฝูง </li>
<li>เมื่อเกิดโรคระบาดต้องทำลายไก่ป่วยและซากไก่ตายด้วยการฝังลึกไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร โรยด้วยปูนขาว แล้วกลบดินทับปากหลุม หรือเผา นำวัสดุรองพื้นออกมาเผา ทำความสะอาดรางน้ำ รางอาหาร ภาชนะใส่อาหาร อุปกรณ์ต่างๆ พ่นภายใน ภายนอก และบริเวณรอบๆ คอก เล้า หรือโรงเรือนด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค และพักการเลี้ยงไก่ไว้ระยะหนึ่ง อย่าทิ้งซากไก่ลงในแม่น้ำลำคลอง อย่าให้น้ำที่ใช้ทำความสะอาดไหลลงแม่น้ำลำคลอง จะทำให้โรคแพร่ระบาดไปยังแหล่งอื่น และแจ้งเจ้าหน้าที่ราชการโดยเร็วที่สุด </li>
<li>ให้ยาบำรุง วิตามิน และแร่ธาตุ ละลายน้ำให้ไก่กินในสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน หรือช่วงเปลี่ยนฤดูกาล ซึ่งมักเป็นสาเหตุทำให้ไก่เครียด และติดโรคได้ง่ายที่สุด ควรให้กินติดต่อกันอย่างน้อย 3 วัน </li>
<li>ปรึกษาสัตวแพทย์ในท้องที่เพื่อขอคำแนะนำที่ถูกต้อง </li>
</ol></ul></div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09284329454802728091noreply@blogger.com0